การออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับการมีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่หลายๆ คนให้ความสนใจในยุคที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมทั้งเพื่อตัวเราเองและคนอื่นๆ ในวันนี้และวันข้างหน้า
สถาปนิกจากสมาคมสถาปนิกสยามให้คำแนะนำว่า ในเบื้องต้นการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ทำให้อยู่แล้วสุขกายสบายใจ มีพื้นฐานที่ต้องคำนึงถึง เริ่มจาก “การวางผัง” ด้วยการใส่ใจในเรื่องทิศทางของ “แดด-ลม-ฝน” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการออกแบบบ้านที่เข้าใจธรรมชาติเป็นหลักนั่นเอง
นอกจากการวางผังให้ถูกต้องตามทิศทางแดด-ลม-ฝน แนวทางที่จะทำให้เกิดผลตามที่ต้องการยังต้องให้ความสำคัญกับ “การลดความร้อน” เข้าสู่อาคารด้วยวิธีต่างๆ เช่น การใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร เช่น ฉนวนกันความร้อน ฯ หรือ “การรีไซเคิล” เช่น การนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ หรือการใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นเพื่อลด carbon footprint เพราะช่วยลดระยะทางในการขนส่ง หรือ“การใช้วัสดุที่ไม่ทำลายสุขภาพและสิ่งแวดล้อม” เช่น การใช้สีซึ่งไม่มีสารระเหย เป็นต้น
เรื่องการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ที่สำคัญคือ “เปลือกหรือผิวของบ้าน” เช่น หลังคา จะต้องใช้ฉนวนกันความร้อน เนื่องจากเป็นองค์ประกอบหลักที่จะช่วยป้องกันความร้อนซึ่งจะถ่ายลงมาสู่ตัวบ้าน หลักการคือการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคารให้ได้มากที่สุด เพื่อจะต้องปรับอากาศให้น้อยลง โดยมีวัสดุต่างๆ หลากหลาย เช่น ฉนวนใยแก้ว ฉนวนโพลิยูรีเทน ฉนวนพียูโฟม ซึ่งบางอย่างมีประสิทธิภาพพอๆ กัน แตกต่างกันที่ความหนา อย่างไรก็ตาม มีฉนวนที่ดีซึ่งคนส่วนมากมักจะนึกไม่ถึงคือช่องว่างของอากาศ จึงควรจะเว้นช่องว่างระหว่างวัสดุมุงหลังคากับวัสดุกันความร้อน เพื่อให้การนำพาความร้อนเข้าสู่อาคารช้าลง
ในส่วนของผนัง สามารถใช้การก่ออิฐให้หนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อน สำหรับกระจก มีทางเลือกด้วยการใช้กระจกที่มีการเคลือบ low E จะช่วยกันความร้อนได้มากกว่ากระจกใสธรรมดา นอกจากนี้ ยังสามารถใช้กระจกสองชั้น ได้อีกด้วย
“เมื่อเราใช้การป้องกันความร้อนในส่วนที่ได้รับแสงแดดมากๆ ไม่ว่าจะเป็น หลังคา ผนัง และช่องแสงหรือกระจก จะทำให้เราสามารถปรับอากาศหรือความร้อนที่จะเข้าสู่ตัวบ้านได้ดี แต่ยังมีการออกแบบ passive ที่ใช้การปลูกต้นไม้ การดึงธรรมชาติเข้ามาอยู่ใกล้บ้านเพื่อให้บ้านเย็น หรือการออกแบบให้ลมผ่าน เพื่อถ่ายเทอากาศได้ดี จะช่วยลดการใช้พลังงานได้แน่นอน”
ขณะที่ส่วนหลักๆ คือ “หลังคา ผนัง หน้าต่าง” มีตัวกันความร้อน แต่อีกส่วนสำคัญที่คนไทยไม่ค่อยใส่ใจคือ การปิดช่องว่างของประตูกับหน้าต่าง ทั้งๆ ที่ จะทำให้สามารถลดการใช้ไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ได้อย่างมาก ดังนั้น จึงควรจะสำรวจรอยต่อที่ทำให้อากาศภายนอกกับภายในรั่วไหลว่ามีที่ใดบ้าง
สำหรับการออกแบบให้การใช้ “แสงธรรมชาติ” เข้ามาช่วย โดยใช้วัสดุป้องกันความร้อนได้ดีจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างดีเช่นกัน ส่วนการใช้ “พืชพรรณต่างๆ” เพื่อช่วยลดความร้อน แนวทางที่ทำควรจะทำให้พื้นที่รอบๆ บ้านเย็นลงระดับหนึ่ง แล้วจึงจะปรับอากาศภายใน แทนที่จะให้พื้นที่รอบๆ ร้อนระอุ และควรจะเป็นพืชพรรณที่มีอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ เพราะจะเหมาะสมและดูแลได้ง่าย เมื่อทำเช่นนี้ทุกบ้าน จะช่วยให้การใช้พลังงานของประเทศไทยลดลงตามไปด้วย
ส่วนการ “ตกแต่งภายใน” อยู่บนแนวทางเดียวกันคือการเลือกใช้ของที่มีอยู่ในพื้นที่หรือท้องถิ่น เพื่อจะไม่ต้องขนส่งให้สิ้นเปลืองพลังงาน แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงก็ตาม นอกจากนี้ การคำนึงถึงการออกแบบที่ละเอียดขึ้น ยังมีการใช้วัสดุอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ไม่มีเศษเหลือซึ่งจะกลายเป็นขยะให้ต้องจัดการอีก รวมทั้ง การใช้ “อุปกรณ์ต่างๆ” เช่น อุปกรณ์ห้องน้ำและ สุขภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น ชักโครก ก๊อกน้ำ และฝักบัว แบบประหยัดน้ำ
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สะดวกในการเลือกใช้หรือเลือกซื้อ สามารถดูได้จากใบรับรองซึ่งผู้ประกอบการที่ทำในเรื่องนี้มักจะมีการขอการรับรองเอาไว้ เช่น ใบรับรองการออกแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฯ สำหรับสถาบันของไทยที่รับรองด้านที่อยู่อาศัยมีสถาบันอาคารเขียวเป็นผู้รับรองในเรื่องของกระบวนการก่อสร้าง การใช้วัสดุ การออกแบบ งานระบบที่นำพลังงานหรือน้ำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น ซึ่งเมื่อผู้ซื้อมีความสามารถในการเลือกหรือเรียกร้องมากขึ้นจะช่วยผลักดันผู้ผลิตให้เพิ่มความสำคัญ
แต่ในเรื่องของราคา ยอมรับว่ามีบางส่วนที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย เช่น กระจกเคลือบผิว
แต่ในส่วนที่ไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่าย เช่น กันสาด ซึ่งอยู่ที่การออกแบบวางผังให้หันไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีอุปกรณ์บางอย่างที่ราคายังคงสูงอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพ เช่น ระบบ invertor ในเครื่องปรับอากาศ ซึ่งราคาที่จ่ายยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะคุ้มกับค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย แต่ต้องมองว่าถ้าทุกคนช่วยกันลดการบริโภคพลังงานให้น้อยลง เป็นการช่วยกันทุกๆ ส่วนเพื่อสังคมโดยรวม
เมื่อมองถึงเรื่องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากจะเป็นการจัดการองค์ประกอบในการอยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นเรื่องของวิถีการใช้ชีวิตในแต่ละวันของผู้ที่อยู่อาศัยด้วย จึงจะทำให้การดูแลสิ่งแวดล้อมได้ประโยชน์อย่างเต็มที่