xs
xsm
sm
md
lg

‘เชื้อรา’ ฆาตกรเงียบในบ้าน! ไม่ใช่แค่ทำให้ป่วย แต่อันตรายถึงสมอง...พร้อมวิธีกำจัดที่ได้ผล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เคยสังเกตไหมว่าคราบดำ ๆ หรือจุดเขียว ๆ ที่ปรากฏอยู่บนผนังห้องน้ำ เพดาน หรือตามมุมอับของบ้าน กำลังส่งกลิ่นเหม็นอับไม่พึงประสงค์ สิ่งที่เราอาจมองข้ามไปว่าเป็นเพียงคราบสกปรกธรรมดา แท้จริงแล้วคือ “เชื้อรา” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่ได้แค่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือน แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ ที่มีอันตรายตั้งแต่การแพ้ธรรมดาไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทำความรู้จัก 'ฆาตกร' ผู้ซ่อนตัวในความชื้น

เชื้อรา (Mold) คือสิ่งมีชีวิตในกลุ่มเห็ดราที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้น อับ และมีอุณหภูมิเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นน้ำรั่วซึมจากผนัง ห้องใต้ดินที่เปียกชื้น หรือห้องน้ำที่มีการระบายอากาศไม่ดี เชื้อราจะปล่อยสปอร์ขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าลอยอยู่ในอากาศ และเมื่อเราสูดหายใจเข้าไป สปอร์เหล่านั้นก็จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

เชื้อราบางชนิด เช่น สแตคีบอทริส ชาร์ทารัม (Stachybotrys chartarum) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ราดำ” ถือเป็นเชื้อราที่มีพิษร้ายแรงเป็นพิเศษ เนื่องจากมันสามารถผลิตสารพิษที่เรียกว่า ไมโคท็อกซิน (Mycotoxins) ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีความเป็นพิษสูงต่อมนุษย์และสัตว์


อันตรายที่เกินกว่าอาการแพ้ทั่วไป

เมื่อร่างกายได้รับสปอร์เชื้อราเข้าไปอย่างต่อเนื่อง อาการที่พบบ่อยที่สุดคือการแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอเรื้อรัง หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอก คันตา คันจมูก หรือเป็นผื่นผิวหนัง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือผลกระทบระยะยาวที่ไม่อาจคาดคิด ได้แก่

ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลาย: สารไมโคท็อกซินสามารถเข้าไปทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น

ปัญหาทางระบบประสาท: มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการสัมผัสกับไมโคท็อกซินในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรัง, สมาธิสั้น, อ่อนเพลีย, หรือแม้กระทั่งมีปัญหาด้านความทรงจำ

ภาวะติดเชื้อที่รุนแรงถึงสมองและปอด: แม้จะเป็นกรณีที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง, ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ, ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือผู้สูงอายุ การสูดดมสปอร์เชื้อราบางชนิด เช่น Aspergillus fumigatus สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่ลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ได้ เช่น ไซนัสอักเสบจากเชื้อราชนิดรุกราน (Invasive Fungal Sinusitis) ซึ่งการติดเชื้อนี้อาจแพร่กระจายไปยังสมองและทำให้เกิด “โรคเชื้อราที่สมอง” (Cerebral Aspergillosis) ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที


วิธีการกำจัดและป้องกันเชื้อราอย่างได้ผลจริง

การกำจัดเชื้อราไม่ใช่แค่การขัดถูให้คราบหายไป แต่คือการแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างถาวร

ขั้นตอนที่ 1: หยุดต้นตอของความชื้น นี่คือหัวใจสำคัญของการกำจัดเชื้อราอย่างถาวร หากไม่แก้ไขสาเหตุหลัก เชื้อราจะกลับมาอีกแน่นอน

ซ่อมแซมจุดรั่วซึม: ตรวจสอบท่อน้ำ, หลังคา, หรือผนังที่มีรอยแตกและรีบซ่อมแซมให้เรียบร้อย

ควบคุมความชื้นในอากาศ: ใช้เครื่องลดความชื้นในห้องที่อับชื้น และเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

ขั้นตอนที่ 2: กำจัดเชื้อราด้วยตัวเอง (ในพื้นที่เล็ก) หากบริเวณที่เกิดเชื้อรามีขนาดเล็ก (น้อยกว่า 1 ตารางเมตร) คุณสามารถทำความสะอาดเองได้ โดยสวมถุงมือ, หน้ากากอนามัยชนิด N95 และแว่นตาเพื่อป้องกันการสูดดมสปอร์

น้ำส้มสายชู: สเปรย์น้ำส้มสายชู (Vinegar) ที่ไม่เจือจางลงบนคราบเชื้อรา ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วใช้แปรงขัดออก น้ำส้มสายชูมีความเป็นกรดที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide): มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้ดี โดยสามารถใช้ได้โดยตรงกับพื้นผิวที่เกิดเชื้อรา

น้ำยาฟอกขาว (Bleach): ผสมน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 4 ส่วน ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณที่เกิดเชื้อรา (ระวังการกัดกร่อนของสารเคมีและควรเปิดห้องให้อากาศถ่ายเทสะดวก)

ขั้นตอนที่ 3: เมื่อไหร่ที่ต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญ?

หากเชื้อราลุกลามเป็นวงกว้าง (ใหญ่กว่า 1 ตารางเมตร) หรือเกิดขึ้นในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ภายในผนัง, ใต้พื้น หรือในระบบปรับอากาศ ควรจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการกำจัดเชื้อราโดยเฉพาะ เพราะพวกเขาจะมีอุปกรณ์และวิธีการที่สามารถกำจัดได้ถึงต้นตออย่างปลอดภัย

อย่าปล่อยให้เชื้อราในบ้านกลายเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก การหมั่นตรวจสอบและรักษาความสะอาด รวมถึงการควบคุมความชื้นในบ้าน คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อปกป้องตัวเองจากเชื้อราและสารพิษที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงถึงชีวิตในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น