การตรวจสุขภาพพื้นฐานเป็นสิ่งที่ควรตรวจเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงก่อนที่จะเกิดโรค และนอกจากนี้ยังมีการตรวจแบบพิเศษอื่นๆ อีก อาทิ การตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร หลายคนอาจจะมีคำถามว่า จำเป็นต้องตรวจหรือไม่ และใครบ้างที่ควรตรวจ
พญ.กฤดากร เกษรคำ แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Center ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่า หลายคนต้องเคยประสบกับปัญหาโรคในระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย จุกเสียดแน่น ท้องผูก ท้องเสีย ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นแค่ชั่วคราว เมื่อรับประทานยาหรือปรับพฤติกรรม อาการเหล่านี้ก็หายไป แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนเรียกได้ว่าเรื้อรังนานเป็นเดือน อันนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้ ซึ่งปัจจัยหรือพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ ได้แก่
-การบริโภคอาหารแปรรูปเป็นประจำ เช่น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง
- พันธุกรรม ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะญาติสายตรง จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
- ขาดการออกกำลังกาย
- ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- สูบบุหรี่
-โรคอ้วน
ดังนั้น การลดความเสี่ยง คือการปรับพฤติกรรม และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ งดเว้นเนื้อสัตว์แปรรูป เพิ่มการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอาการเรื้อรัง หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการส่องกล้องเพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ผู้ที่ควรได้รับการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร ได้แก่
- อายุ 45 ปีขึ้นไป
- ปวดแสบท้อง จุกแน่นลิ้นปี ท้องอืด เรื้อรัง
- มีการถ่ายอุจจาระผิดปกติจากเดิม เช่น ท้องผูก หรือท้องเสียบ่อยๆ มีอุจจาระสีดำ หรือปนเลือด
- มีภาวะโลหิตจางที่อาจมีสาเหตุจากเลือดออกภายใน
- น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ อาจมีถ่ายปนเลือด หรืออุจจาระสีดำ
- มีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งระบบทางเดินอาหาร
ถ้ามีอาการหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง อย่ารอให้เป็นแล้วค่อยรักษา ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งการตรวจส่องกล้องทางเดินอาหาร สามารถทำควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพประจำปีได้เลย