xs
xsm
sm
md
lg

ทำความรู้จัก “แอสต้าแซนทิน” สารอาหารยืนหนึ่งเรื่องลดเลือนริ้วรอย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หากคุณต้องการสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่ช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอย อีกทั้งบำรุงสายตา หรือช่วยการทำงานของหัวใจ และอื่น ๆ “แอสต้าแซนทิน” ถือว่าเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติของที่ว่ามา


“แอสต้าแซนทิน” คืออะไร

แอสต้าแซนทิน เป็นสารอาหารที่โด่งดังด้วยผลวิจัยทางการแพทย์มากมายในการช่วยเรื่องของการลดริ้วรอย แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก คุณสมบัติของวิตามินตัวนี้สามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลาย ทั้งจากอนุมูลอิสระ มลพิษ ควันบุหรี่ สามารถปกป้องไปจนถึง ดีเอ็นเอของผิว เนื่องด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของแอสตาแซนทินนี้เองจึงมีประโยชน์ต่อร่างกาย ในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ครอบคลุม

โดยแอสต้าแซนทิน เป็นสารสีแดงที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เช่น ปลาแซลมอน ปลาเทาน์ ไข่ปลาคาเวียร์ กุ้ง ปู ลอปสเตอร์ เคย และยังพบมากในสาหร่ายทะเลสีแดง ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus Pluvialis) 


ประโยชน์ของ "แอสต้าแซนทิน"

-ทำให้กล้ามเนื้อ และข้อต่อมีสุขภาพดีขึ้น ช่วยให้กล้ามเนื้อมีความทนทานมากขึ้น

-ปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากการทำลาย ของอนุมูลอิสระ

-ปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยแสงแดด และรังสีอัลตราไวโอเลต

-ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย

-ปรับสมดุลความดันโลหิต และการเต้นของหัวใจ

- มีส่วนช่วยบำรุงสายตา

กลุ่มที่ไม่ควรรับประทาน "แอสต้าแซนทิน" ได้แก่

-ผู้ที่แพ้อาหารที่มีสารดังกล่าว เช่น สาหร่าย แซลมอน กุ้ง หรือล็อบสเตอร์

-ผู้ที่แพ้แคโรทีนอยด์ชนิดอื่น เช่น แคนทาแซนทิน

- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคกระดูกพรุน แคลเซียมต่ำ ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ หรือภาวะความดันโลหิตผิดปกติ

-สตรีตั้งครรภ์หรือสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร

ผลข้างเคียงของการรับประทาน “แอสต้าแซนทีน”

การรับประทานแอสต้าแซนทีน อาจทำให้ขับถ่ายบ่อยขึ้น ซึ่งถ้าหากรับประทานในปริมาณมากอาจทำให้ปวดท้อง และการรับประทานเกินวันละ 48 มิลลิกรัมทุกวัน อาจทำให้อุจจาระมีสีแดง และ อาจทำให้ระดับแคลเซียมและความดันโลหิตลดต่ำลง โดยปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 4-12 มิลลิกรัม

นอกจากนี้ ในงานวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเพศชาย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนถึงผลข้างเคียงในการบริโภคสิ่งนี้ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮฮร์โมน ในกรณีที่เกิดความผิดปกติหลังการรับประทาน ควรรีบไปพบแพทย์

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : โรงพยาบาลเปาโล และ pobpad.com


กำลังโหลดความคิดเห็น