หากพูดถึง “ฝ้า” แล้ว หลายคน ก็ทราบกันดีว่า เป็นโรคที่เกิดบนใบหน้า ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีงิตบ้าง แต่ถ้ามีการดูและรักษาป้องกันอย่างถูกวิธี เชื่อได้เลยว่า ใบหน้าก็จะกลับเปล่งปลั่งและสดใสได้เช่นกัน
“ฝ้า” คืออะไร
ฝ้า (Melasma หรือ Chloasma) คือ ปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม หรือดำ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือบริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ เช่น โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง, หน้าผาก, ขมับ, เหนือริมฝีปาก และจมูก มักเป็นทั้งด้านซ้ายและขวา พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี
โดยฝ้าเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จึงสร้างเม็ดสีออกมามากกว่าเดิม เม็ดสีที่ถูกลำเลียงสู่ผิวชั้นบนสุดหรือชั้นหนังกำพร้ามีลักษณะเข้มและขอบชัด เรียกว่า ฝ้าตื้น ส่วนเม็ดสีที่อยู่ใต้ต่อชั้นหนังกำพร้าลงมา และมีบางส่วนที่ตกค้างอยู่ในชั้นหนังแท้ มักจะมีสีอ่อนกว่าอาจเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด เรียกว่า ฝ้าลึก โดยคนไข้ส่วนมากมักมีฝ้าทั้ง 2 ชนิดปนกัน
ปัจจัยที่ทำให้เกิด “ฝ้า”
-แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการเกิดฝ้า ไม่ว่าจะเป็น UVA, UVB และ Visible light
-ฮอร์โมน ซึ่งมีผลทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น เช่น ในภาวะตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน, การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือ การใช้เครื่องสำอางที่มีฮอร์โมนเป็นส่วนผสม
-พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดฝ้า มีรายงานว่าเป็นผลในครอบครัวได้ถึงเกือบ 50 % เลยทีเดียว
-ภาวะทุพโภชนา อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบฝ้าในผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติ และผู้ที่ขาดวิตามิน บี 12 เป็นต้น
-เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินโนน อาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้
การรักษาและป้องกัน
สำหรับการรักษานั้น ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด และก็สามารถกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งได้ แต่การรักษาที่ดีที่สุดนั้น ก็มีวิธีการดังนี้
-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดฝ้า คือ เลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ รวมถึงงดการรับประทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมน
-รักษาด้วยการใช้ยาทา ประเภทไวท์เทนนิ่ง จะช่วยให้กระจ่างได้
- รับประทานยา ก็ช่วยให้ฝ้าจางลง แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
- รักษาในแบบอื่น ๆ คือ การผลัดเซลส์ผิว
ส่วนการป้องกันฝ้านั้น มีวิธีดังนี้ คือ
-ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด อาจจะสวมหมวกหรือกางร่มเพื่อป้องกันแดด เพื่อเสริมจากการทาครีมกันแดดอีกแรง
-ควรเลือกครีมกันแดดที่ช่วยป้องกัน ได้ทั้ง UVA และ UVB ที่มีค่า SPF 50+ ขึ้นไป
-หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกลางแดด ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช และ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์