“ความเครียด” ถือเป็นหนึ่งปัญหาสุขภาพที่สำคัญที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนวัยทำงาน และวัยเรียนที่มักมีระดับความเครียดเพิ่มขึ้นจากพฤติกรรมการทำงานและการเรียนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสม ผลที่ตามมาคือความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ปัญหาความเครียดของช่วงวัยทำงาน และวัยเรียน
ปัญหาความเครียดของวัยทำงาน : ในฐานะของมนุษย์เงินเดือนไม่ว่าจะอาชีพไหนก็คงหนีไม่พ้น“ความเครียด” เนื่องจากการทำงานที่มีการเเข่งขันสูง เเรงกดดันเยอะ การใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อวางเเผน รวมถึงการทำงานร่วมกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ลูกค้าในทุกๆ วัน ก็อาจทำให้เกิดความวิตกกังวล ความไม่สบายใจต่าง ๆ จนสะสมเกิดเป็นความเครียดได้ในที่สุด
ปัญหาความเครียดของวัยเรียน : วัยเรียนอย่างนักศึกษา คือ ช่วงวัยที่ต้องเผชิญกับความเครียดด้านการเรียนอย่างหนักหน่วง ยิ่งในช่วงสอบจะยิ่งเครียดและหักโหมเป็นพิเศษ หนังสือก็ต้องอ่าน รายงานก็ต้องทำ อดหลับ อดนอน จนส่งผลกับความผิดปกติของร่างกายมีอาการปวดหลัง อ่อนล้า ลำไส้ปั่นป่วน สิวขึ้น ซึ่งอาการผิดปกติทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจาก ‘ความเครียด’ทั้งสิ้น
และนอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจ มลพิษ ความเจ็บป่วย หรือการเสพข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ ก็ส่งผลให้เกิดความเครียดตามมาได้เช่นกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า “ความเครียด” เป็นหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบได้ในทุกเพศ ทุกวัยและทุกอาชีพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากปล่อยให้ความสะสมเพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ในอนาคต
ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้คือการลด และป้องกันความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่อย่างถูกต้อง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนนอกสถานที่ ฟังเพลง รวมไปถึงพยายามระบายความทุกข์ที่อยู่ในใจกับคนที่ไว้ใจและสนิท และนอกจากนี้อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและสะดวกตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันในการผ่อนคลายความเครียดก็คือการเลือกดูแลด้วย “วิตามินบีรวม ปริมาณสูง ที่มีสูตรสมดุลสำหรับคลายเครียด” ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบประสาทและสมอง มีส่วนช่วยในการบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี โดยขนาดแนะนำของวิตามินบี แต่ละชนิดอยู่ที่ 25-300 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งปัจจุบันในท้องตลาดมีวิตามินบีขายกันอยู่หลากหลายยี่ห้อ แต่การเลือกวิตามินบีที่ดีและมีคุณภาพควรเป็นดังนี้
1.เลือกวิตามินบีที่ครบถ้วนทั้ง 10 ชนิด และเป็นสูตรสมดุล ที่มีปริมาณของวิตามินบีแต่ละชนิดเท่าๆกัน เพื่อไม่ให้วิตามินบีแต่ละชนิดขัดขวางการดูดซึมซึ่งกันและกัน โดยควรมีวิตามินบีชนิดต่างๆ ดังนี้
• วิตามินบี 1 (Thiamine) ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท บรรเทาอาการซึมเศร้า และลดอาการวิตกกังวล
• วิตามินบี 2 (Riboflavin) ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม เล็บ เเละช่วยในการมองเห็น
• วิตามินบี 3 (Nicotinamide) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและระบบประสาท บรรเทาอาการปวดศีรษะจากไมเกรน และป้องกันโรคซึมเศร้าที่มีสาเหตุมาจากความเครียดเรื้อรัง
• วิตามินบี 4 (Choline) ช่วยในการพัฒนาสมอง สร้างสัญญาณสื่อประสาท ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น
• วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบประสาท ช่วยบรรเทาความเครียด
• วิตามินบี 6 (Pyridoxine) ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาท และสร้างสารต้านอาการซึมเศร้า
• วิตามินบี 7 (Biotin) มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต การสร้างพลังงาน ช่วยให้ระบบประสาทแข็งแรง ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย
• วิตามินบี 8 (Inositol) ช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในร่างกาย บรรเทาอาการเครียด ป้องกันโรคซึมเศร้า ลดความวิตกกังวล
• วิตามินบี 9 (Folic acid) เป็นวิตามินที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการทางประสาท อาการปวดศีรษะ อาการขี้หลงขี้ลืม อารมณ์เเปรปรวนหงุดหงิดง่าย
• วิตามินบี 12 (Cobalamin) ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ระบบประสาทแข็งแรง สมาธิและความจำดีขึ้น
2. เลือกวิตามินบีที่มีปริมาณสูงเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยปริมาณที่แนะนำของวิตามินบีแต่ละชนิดคือ 25-300 มก. ต่อวัน
3. เลือกยี่ห้อที่ผลิตภายใต้มาตรฐานยา เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ และปราศจากสารปนเปื้อน
และนอกจากประโยชน์ที่ดีต่อระบบประสาทและสมองแล้ว อีกหนึ่งประโยชน์ของวิตามินบีที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ คือ “ช่วยป้องกันอาการเมาค้าง” อีกหนึ่งปัญหาที่มนุษย์วัยทำงานต้องเจอหลังจากการนัดพบปะสังสรรค์กับลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงาน โดยแนะนำให้กินวิตามินบีก่อนดื่มแอลกอฮอล์ และหลังจากตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ คนทำงานอิสระ ผู้บริหาร และนักศึกษา หากรู้จักจัดการกับปัญหาความเครียดอย่างเป็นระบบ และเลือกวิธีลดความเครียดอย่างถูกต้องก็สามารถช่วยให้รอดพ้นจากความเครียดในการทำงานและการเรียนได้
อ้างอิงข้อมูลจาก :
https://www.megawecare.co.th/content/5085/vitamin-b-reduces-stress