สุขภาพฟัน คืออีกสิ่งที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะว่าส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ ซึ่งหากมีปัญหาเกิดขึ้น ก็จะส่งผลต่อภาพรวมทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหา “โรคเหงือกอักเสบ” นั้น หากใครบาดเจ็บในส่วนตรงนี้นั้น ก็จะกระทบต่อชีวิตและเสียเวลาไปโดยใช้เหตุเลยทีเดียวล่ะ
สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ
สำหรับสาเหตุของ “โรคเหงือกอักเสบ” นั้น เริ่มต้น คือ เกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่ก่อตัวขึ้นตามรอยต่อระหว่างฟัน และเหงือก โดยเป็นลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่นนุ่ม ที่ประกอบด้วยแบคทีเรีย และคราบอาหารพวกแป้ง และน้ำตาลที่เกาะบนผิวฟัน จากการทำความสะอาดฟันที่ไม่ดีพอ ทำให้คราบเหล่านั้นกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้น
และเมื่อแบคทีเรียได้บริโภคอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาลเข้าไป ก็จะทำการปล่อยกรด และสารพิษออกมากระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ผลก็คือ จะทำให้เหงือกบวมแดงอักเสบ และมีเลือดออกในกรณีที่เกิดการอาการมากขึ้น
สัญญาณเตือนของ “โรคเหงือกอักเสบ”
-มีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
-เหงือกบวม หรือ เหงือกร่น
-ฟันเริ่มโยก หรือหลุดจากกระดูกเบ้าฟัน
-มีหนอง
-มีกลิ่นปาก
วิธีการรักษาโรคเหงือกอักเสบ
การขูดหินปูน และเกลารากฟัน
โดยการขูดหินปูนจะทำความสะอาดทั้งส่วนบนตัวฟัน และบนผิวรากฟันภายในร่องเหงือก เป็นการกำจัดคราบจุลินทรีย์และหินปูนเหนือเหงือก และใต้เหงือก ด้วยเครื่องขูดหินปูนไฟฟ้า และเครื่องมือเฉพาะทาง
ทำการดูแลอนามัยช่องปากที่ถูกต้องสม่ำเสมอ
ได้แก่ การแปรงฟันที่ถูกวิธี และการใช้ไหมขัดฟัน หรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์ และหินปูนเหนือเหงือก และในร่องเหงือก
แม้ว่าการรักษาจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคเหงือกอักเสบก็จะกลับเป็นใหม่ได้ง่ายๆ ดังนั้น หลังจากการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการขูดหินน้ำลาย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นใหม่ของโรคทุก 3 - 6 เดือน
การป้องกัน “โรคเหงือกอักเสบ”
-ดูแลรักษาความสะอาดสุขภาพปากและฟันให้ดี แปรงฟันอย่างถูกวิธีสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือแปรงฟันหลังการรับประทานอาหารแต่ละมื้อ หากกำลังจัดฟัน ที่ครอบฟัน หรือกำลังตั้งครรภ์ ควรใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเหงือกบวมและปัญหาในช่องปากอื่นๆ ได้ง่าย
-ใช้น้ำยาบ้วนปาก หรือไหมขัดฟัน เพื่อช่วยทำความสะอาดเหงือกและฟัน เนื่องจากป้องกันการเกิดคราบสกปรกสะสม
-ไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพช่องปากเป็นประจำอย่างน้อยทุก ๆ 6 เดือน และทำการปรึกษาขอคำแนะนำในการดูแลปากและฟัน โดยอาจใช้ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และรับการขูดหินปูนกำจัดคราบฟันตามที่แพทย์แนะนำ
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามโภชนาการที่ร่างกายควรได้รับ โดยเฉพาะอาหารที่ให้สารอาหารจำพวกวิตามินซี แคลเซียม กรดโฟลิค
-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มีน้ำตาลสูง
-ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหวาน น้ำอัดลม และไม่สูบบุหรี่
-ทำการสังเกตอาการที่เกิดขึ้นภายในปากและฟัน หากมีอาการรุนแรง หรือมีอาการอย่างเรื้อรังและไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้ทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : pobpad.com, โรงพยาบาลศิขรินทร์ และ โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน