xs
xsm
sm
md
lg

ปวดท้องบ่อย อาจเสี่ยง “นิ่วในถุงน้ำดี” ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



บางคนที่เกิดอาการปวดท้องบ่อย ๆ ก็อาจจะพาลคิดไปก่อน ว่าอาจจะเป็นโรคกระเพาะบ้างล่ะ หรือ ไม่ค่อยได้กินข้าวบ้างล่ะ แต่บางครั้ง อาการที่ว่านี้ อาจจะเป็นสัญญาณของ “นิ่วในถุงน้ำดี” ก็เป็นได้ แล้วโรคดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ฉะนั้น มาดูที่มาของภาวะอาการดังกล่าวกัน

ที่มาของ “นิ่วในถุงน้ำดี”

สำหรับอาการของ “นิ่วในถุงน้ำดี” นั้น จุดเริ่มต้นมาจากการตกผลึกของหินปูน หรือแคลเซียม, คอเลสเตอรอล และ บิลิรูบิน (คือสารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี จากนั้น เมื่อสารเหล่านี้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ ก็เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี จนทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ จนทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้อนก็ได้


ใครที่เสี่ยงเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี”

-ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

-มีการพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 1-2 เท่า

-ผู้หญิงที่มีบุตรแล้ว

-ผู้ที่มีระดับคลอเรสเตอรอลสูง

-ผู้ที่เป็นเบาหวาน, ธาลัสซีเมีย, โลหิตจาง


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด “นิ่วในถุงน้ำดี”

-ภาวะโรคอ้วน เพราะคนอ้วนจะเกิดนิ่วที่มีคอเลสเตอรอล เนื่องจากการบีบตัวของถุงน้ำดีลดลง

-การได้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการรับประทานหรือตั้งครรภ์ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูง

-การได้ยาลดไขมันบางชนิด จนทำให้คอเลสเตอรอลในน้ำดี

-ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงมาก ๆ

-การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายละลายไขมันมากไป


อาการของคนที่เป็น “นิ่วในถุงน้ำดี”

ส่วนอาการที่เกิดขึ้นของ “นิ่วในถุงน้ำดี” นั้น จะเกิดการท้องเฟ้อตรงบริเวณเหนือสะดือ มีการเรอ คลื่นไส้ อาเจียน คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย ซึ่งมักเป็นหลังกินอาหารมัน ๆ

ขณะที่ในรายที่ก้อนนิ่วเคลื่อนไปอุดในท่อส่งน้ำดี จะมีอาการปวดบิดรุนแรงเป็นพักๆ ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวมาที่ไหล่ขวาหรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา มักปวดนานเป็นชั่วโมง ๆ และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

ในขณะที่บางรายอาจมีการปวดรุนแรงจนเหงื่อออก เป็นลม อาการปวดท้องมักเป็นหลังกินอาหารมันหรือกินอาหารมื้อหนัก

หรือในบางคนอาจมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เกิดขึ้นตามหลังอาการปวดท้อง การตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ มักไม่มีไข้ บางครั้งอาจตรวจพบอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณใต้ลิ้นปี่และได้ชายโครงขวา


วิธีการป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี

-รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
-ควบคุมน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอล
-ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : Rama Channel และ โรงพยาบาลนนทเวช


กำลังโหลดความคิดเห็น