xs
xsm
sm
md
lg

เช็กสัญญาณเตือนเพื่อรับมือ “มะเร็งปอด” แม้ไม่สูบก็อาจเสี่ยงได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้าว่ากันตามตรงในเรื่องของสภาพอากาศในปัจจุบันด้วยแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าไม่น่าอภิรมย์เท่ากับเมื่อก่อน เพราะด้วยการมีเรื่องขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็ยิ่งทำมีความเปลี่ยนแปลงกันไป ซึ่งก็รวมไปถึง “โรคมะเร็งปอด” ที่หลายคนอาจมีความเชื่อว่า การสูบบุหรี่คือการเกิดโรค แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ซะทีเดียว ซึ่งอาจจะมีปัจจัยอื่นรวมอยู่ด้วยเช่นกัน


ปัจจัยเสี่ยงของ “โรคมะเร็งปอด”

แม้ว่าในปัจจุบัน อาจจะยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวได้ แต่ก็มีปัจจัยบางประการที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด คือ

-บุหรี่

สิ่งนี้ถือได้ว่า อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 10-30 เท่า เนื่องจากสารในบุหรี่สามารถทำลายเซลล์ปอด ทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนมวนและจำนวนปีที่สูบบุหรี่

-การได้รับสารพิษและมลภาวะในสิ่งแวดล้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อาศัยหรือใกล้ชิดจากแหล่งกำเนิดที่ว่ามา เช่น ควันบุหรี่ แอสเบสตอส, ก๊าซเรดอน, สารหนู, รังสี และสารเคมีอื่นๆ รวมถึงฝุ่นและไอระเหยจากนิกเกิล โครเมียม และโลหะอื่น ๆ

-อายุ

ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอดจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยทั่วไปความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหลังอายุ 40 ปี แต่สามารถพบได้ในคนอายุน้อยกว่า 40 ปี เช่นเดียวกัน

-มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด

ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคมะเร็งปอดมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดแม้ไม่ได้สูบบุหรี่

ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการลดปัจจัยเสี่ยงและวางแผนการตรวจสุขภาพ ส่วนผู้ที่เคยได้รับการรักษามะเร็งปอดมาแล้ว ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพหลังการรักษา เนื่องจากอาจมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปอดได้อีก


อาการของ “โรคมะเร็งปอด”

สำหรับอาการของโรคมะเร็งปอดนั้น จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.อาการในระบบทางเดินหายใจ ได้แก่

-ไอเรื้อรัง ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีเสมหะก็ได้

- ไอเป็นเลือด

- หอบเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก อาจจะด้วยเพราะก้อนมะเร็งที่โตขึ้น จนเข้าไปสร้างปัญหาภายในปอดในวิธีการต่าง ๆ

- เจ็บหน้าอก ตอนเวลาหายใจ

-ปอดอักเสบ มีไข้

2.อาการที่เกิดในระบบอื่น ๆ เช่น

- เบื่ออาหาร นำหนักตัวลดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

-เกิดภาวะบวมที่หน้า แขน คอ และ ทรวงอกส่วนบน เนื่องจากมีเลือดดำคั่งค้าง

-เสียงแหบ เนื่องจากมะเร็งอาจลุกลามไปยังเส้นประสาทบริเวณกล่องเสียง

- กลืนลำบาก เรื่องจากมะเร็งบดบังหลอดอาหาร

-อัมพาต เพราะมะเร็งแพร่ไปยังสมองหรือไขสันหลัง

-มีตุ่มหรือก้อนขึ้นตามผิวหนัง


การรักษา “โรคมะเร็งปอด”

-การผ่าตัด

ในส่วนของการผ่าตัดนั้น เป้าหมายเจะอยู่ที่เพื่อผ่าเอาก้อนมะเร็งที่ปอดและต่อมน้ำเหลืองที่ช่องอกออกให้หมด ซึ่งบางครั้งก้อนเนื้อนั้นอาจไม่ใช่เซลล์มะเร็งทั้งหมดก็ได้ ซึ่งโดยทั่วไปไม่ใช้ในการรักษามะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กซึ่งมักมีการแพร่กระจายตัวของเซลล์มะเร็งอย่างรวดเร็ว และวิธีการนี้ใช้ในการรักษามะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ในระยะที่ 1, 2 และ 3A

-การฉายรังสี

สำหรับการฉสายรังสีนั้น จะเป็นการใช้พลังงานรังสีที่มีความเข้มข้นฉายไปยังตำแหน่งของเซลล์มะเร็งเพื่อทำลายกลุ่มก้อนเซลล์มะเร็งนั้น โดยวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับระยะมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ แต่อาจใช้เฉพาะจุดเพื่อควบคุมการลุกลาม

การฉายรังสีใช้เวลาไม่นานและไม่ทำให้เจ็บปวด แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น กลืนลำบาก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี

-การใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัด

วิธีนี้จะทำเพื่อให้ภูมิคุ้มกัน ระบบการทำงานของภูมิคุ้มกัน การตรวจจับและการทำลายเซลล์มะเร็งมีประสิทธิภาพ

-การให้ยาเคมีบำบัด

เป็นการใช้ยากำจัดและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ทั่วร่างกาย โดยทั่วไปยาเคมีบำบัดที่ใช้กับมะเร็งปอดเป็นรูปแบบยาฉีดเข้าเส้นเลือด

-การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง

เป็นการรักษาโดยการใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยไม่ส่งผลต่อเซลล์ปกติ ให้ประสิทธิผลในการรักษาและไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงเหมือนเช่นยาเคมีบำบัด

-การรักษาด้วยการผสมผสาน

โดยทั่วไปการรักษามะเร็งจะใช้มากกว่าหนึ่งวิธีขึ้นไป ผู้ป่วยควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาและผลข้างเคียงของแต่ละวิธี เพื่อให้ความร่วมมือในการรักษาให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด


การป้องกันให้ห่างไกดลจาก “โรคมะเร็งปอด”

-เลิกสูบบุหรี่ หรือไม่ใกล้ชิดคนที่สูบบุหรี่

-หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ ที่มีมลพิษทางอากาสสูง เช่น สถานที่ ๆ ที่มีฝุ่นควันมาก ๆ หรือในที่ที่ทำงานโดยไม่ใช้เครื่องมือป้องกันตนเองในสภาวะอากาศดังกล่าว

-อยู่ในท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์

-หมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำอยู่เสมอ

-ออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงอยู่เสมอ

อบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ และ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์


กำลังโหลดความคิดเห็น