xs
xsm
sm
md
lg

‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke) เป็นง่ายกว่าที่คิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ หรือ ‘Stroke’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว นั่นเป็นเพราะว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และโอกาสเกิดโรคนี้มีถึง 25% หรือใน 4คนมีโอกาสที่จะเกิดโรคนี้ 1 คน เนื่องจากเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเกือบทั้งหมด


‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke) มี 3 ประเภท

ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ภาวะหลอดเลือดสมองแตก และภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ

‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke) เกิดจากอะไร

-สาเหตุหลัก 80% เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือภาวะสมองขาดเลือด เกิดจากการมีไขมันเข้าไปเกาะผนังด้านในหลอดเลือดสมองจนเกิดหินปูน หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจหลุดลอยตามกระแสเลือดเข้าไปอุดตัน

-หลอดเลือดในสมองแตก เกิดจากหลอดเลือดมีความเปาะบาง ร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้มีความเสี่ยงที่หลอดเลือดจะโปรงพองและแตกออก

-สมองขาดเลือดชั่วคราว มีอาการคล้ายกับภาวะสมองขาดเลือดมักจะมีอาการไม่เกิน 24 ชั่วโมง


ปัจจัยเสี่ยง ‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke)

- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคเกี่ยวกับหัวใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคอ้วน ซึ่งมีโอกาสเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงนำไปสู่โรคหลอดเลือดในสมอง
- ระดับไขมันในเลือดสูง ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบ
- การดื่มสุราและสูบบุหรี่
- ความเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานส่งผลกับระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด
- ผู้สูงอายุในช่วงอายุ 65 ปีขึ้นไป

อาการของ ‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke)

- อ่อนแรงแขนและขาครึ่งซีก
- หน้าเบี้ยว กลืนลำบาก
- ทรงตัวไม่ค่อยได้ เดินเซ
- พูดไม่ออก หรือพูดไม่ชัดทันทีทันใด
- ตาข้างใดข้างหนึ่งมัว หรือมองไม่เห็น
- เกิดอาการภาพซ้อน หรือมีอาการคล้ายม่านบังตา
- เวียนศีรษะ ปวดศีรษะรุนแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน


การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจาก ‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke)

- รับประทานอาหารให้ครบ5หมู่
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน และเค็ม
- ฝึกจิตเพื่อลดความเครียด
- ออกกำลังกายอย่างน้อย30นาที
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และสูบบุหรี่
- ควบคุมระดับความดันโลหิต ไขมัน และน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ตรวจเช็คสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจสอบภาวะความเสี่ยง

‘โรคหลอดเลือดในสมอง’ (Stroke) เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะทำให้เกิดการสูญเสียความเป็นตัวเอง อาการดังกล่าวสามารถกลับมาดีขึ้นได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ทันเวลา หากมีสัญญาณเตือนเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกเพื่อลดความเสี่ยงจากการพิการ หรือเสียชีวิตได้

ข่าวโดย : พงษ์ศักดิ์ วัฒนศฤงฆาร


กำลังโหลดความคิดเห็น