ดวงตาและสายตา ขึ้นชื่อว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญของคนเรา ซึ่งหากมีสิ่งใดมารบกวนเมื่อไหร่ ย่อมสร้างปัญหากับคนที่ประสบเป็นแน่ และยิ่งเมื่อการเป็น “โรคต้อ” ด้วยแล้ว อาจจะสร้างความรำคาญทั้งตาและกระทบกับการใช้ชีวิตอยู่ไม่มากก็แน่เช่นเดียวกัน ฉะนั้นแล้ว การตั้งรับกับ “โรคต้อ” 4 ชนิด ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็ว่าได้
1.ต้อลม
อาการของต้อลม
ภาวะต้อลมจะเป็นลักษณะเป็นเนื้อนูนที่เยื่อบุตาด้านข้างกระจกตาหรือตาดำโดยอยู่เฉพาะที่เยื่อบุตาขาว โดยส่วนใหญ่มักเกิดอยู่ที่บริเวณหัวตาด้านในใกล้จมูกแต่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านหัวตาและหางตาพร้อมกันได้เมื่อเยื่อบุตานูนขึ้นส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามากขึ้นได้
ถามว่าสาเหตุของต้อลมมาจากอะไร คำตอบคือ เกิดจากรังสียูวี เช่น จากแสงแดด ทำให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพกลายเป็นเนื้อนูนขึ้น เมื่อโดนลมฝุ่นจะทำให้เคืองตามากขึ้นได้จากการอักเสบหรือผิวตาแห้งง่าย
วิธีรักษาตาเป็นต้อลม
-หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แจ้งที่มีแสงแดด ฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ ซึ่งถ้าจำเป็นที่จะต้องอยู่ในท่ามกลางสถานที่ดังกล่าว ให้ใส่แว่นกันแดด แว่นกันลม หรือหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันดวงตา
-หยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดการระคายเคือง
-หากมีการระคายเคืองหรืออักเสบบ่อยครั้ง ทางแพทย์จะให้ใช้ยาหยอดตาด้วย หากแพทย์จ่ายยาให้ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง
-งดสูบบุหรี่ เพราะจะสารในบุหรี่จะทำให้อาการแย่ลง
-หากต้อลมเป็นปัญหาเรื่องความสวยงาม สามารถผ่าตัดหรือใช้เลเซอร์จี้ออกได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกเช่นกัน
2.ต้อเนื้อ
อาการของต้อเนื้อ
สำหรับ “ต้อเนื้อ” นั้นเกิดจากสาเหตุเดียวกับต้อลม คือเกิดจากการใช้สายตามาก ดวงตามีการสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองอย่างยาวนาน เช่น ลมร้อนแห้ง แสงแดด รังสียูวี ฝุ่น ควัน หรือกับมลภาวะต่างๆ โดยในช่วงเริ่มแรกของโรคนั้น จะเป็นภาวะต้อลมก่อน เมื่อก้อนต้อลุกลามเข้าไปในตาดำ เริ่มมีเส้นเลือดที่ก้อนต้อ จะเรียกลักษณะดังกล่าวว่าเป็นต้อเนื้อ
โดยอาการส่วนใหญ่ของผู้ที่เป็นต้อเนื้อ เหมือนกับการเป็นต้อลม คือระคายเคือง เจ็บ แสบ น้ำตาไหล เหมือนมีเม็ดทรายเข้าตา ทำให้เกิดการอักเสบได้ แต่อาการรุนแรงกว่าต้อลม คือต้อเนื้อจะมีผลกับการมองเห็น หากต้อเนื้อยื่นเข้าไปในบริเวณตาดำ จะทำให้สายตาเอียง หรืออาจจะมองไม่เห็นได้
วิธีรักษาตาเป็นต้อเนื้อ
การป้องกันการเกิดต้อเนื้อเหมือนกับต้อลม คือ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าโดยเฉพาะช่วยสายถึงบ่ายต้นๆ หากทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งและพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีลมฝุ่นควันที่ส่งผลทำให้กระตุ้นการอักเสบระคายเคืองมากขึ้นได้
3.ต้อกระจก
อาการของต้อกระจก
ส่วนภาวะต้อกระจกนั้น เกิดมาจากโรคที่มีเลนส์แก้วตาขุ่นลง ซึ่งสาเหตุหลักคือจากการเสื่อมของเลนส์ตาตามอายุ อาการต้อกระจกนั้น มักจะพบในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น เป็นตั้งแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุกับดวงตา หรือการได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นต้น ทุกคนมีโอกาสเป็นต้อกระจกตามวัย เพราะคือความเสื่อมของร่างกาย แต่อาจเป็นเร็วช้าต่างกัน
ส่วนอาการที่มักพบคือ มองเห็นมัวเหมือนมีฝ้าหรือหมอกบัง มองเห็นสีเพี้ยน ภาพซ้อน ตามัวในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เมื่ออยู่กลางแดดตาจะสู้แสงไม่ได้
วิธีรักษาตาเป็นต้อกระจก
หากเป็นต้อกระจกในระยะเริ่มต้น แพทย์จะรักษาตามอาการไปก่อน หากสายตาสั้น สายตาเอียงจากการเป็นต้อ จะรักษาด้วยการตัดแว่นตามค่าสายตา หากมองไม่เห็นในที่แสงจ้า แพทย์จะให้ใส่แว่นตัดแสง
แต่หากอาการมีการพัฒนาเป็นต้อสุก มีปัญหากับการมองเห็น แพทย์จะให้รักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดที่สร้างแผลขนาดเพียง 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ไม่ต้องพักฟื้นนาน ทำให้การผ่าตัดรักษาต้อกระจกไม่ใช่เรื่องใหญ่
นอกจากนี้ ผู้ที่ผ่าตัดรักษาต้อกระจกสามารถเปลี่ยนเลนส์ตาเดิม เป็นเลนส์แก้วตาเทียมที่แก้ไขค่าสายตาได้ด้วย โดยไม่ต้องทำเลสิคให้ซ้ำซ้อน
4.ต้อหิน
อาการของต้อหิน
ส่วน “ภาวะต้อหิน” นั้น จะเกิดมาจากเซลล์เส้นใยประสาทในดวงตาลดลง จนทำให้ขั้วประสาทตา เกิดการเสื่อมสภาพ ซึ่งโดยปกติแล้วเส้นประสาทในขั้วประสาทตา จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณประสาทไปที่สมอง แต่หากเส้นประสาทตัวนี้เหลือน้อย ภาพที่ส่งไปยังสมองจะน้อยลง จนทำให้ความกว้างในการมองเห็นลดลง ตามัว และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในที่สุด
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อมมาจากหลายสาเหตุ ทั้งมาจาก อาจจะเกิดจากเซลล์ลดลงเองโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเกิดจากความดันในลูกตาสูง จนทำให้ความดันไปกดทับ และทำลายเซลล์ประสาทในที่สุด
ผู้ที่เป็นต้อหิน จะสูญเสียการมองเห็นอย่างช้าๆจนตาบอดอย่างถาวร ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเป็น จนสูญเสียการมองเห็นไป อาจจะใช้เวลามากถึง 5 - 10 ปี ผู้ที่เป็นต้อหินจะมองภาพได้แคบลงเรื่อยๆ แต่ภาพตรงกลางยังเป็นปกติ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการมองเห็นของตัวเองผิดปกติ และมาพบแพทย์เมื่อเริ่มมองไม่เห็นแล้ว
วิธีรักษาตาเป็นต้อหิน
การป้องกันต้อหินที่ดีที่สุดคือรู้เท่าทันจึงควรตรวจเช็กสายตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ขึ้นไปผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นต้อหินผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากๆ ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ป่วยโรคที่มีการไหลเวียนเลือดไม่ดี
นอกจากนี้ควรเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์หยอดตาโดยไม่จำเป็น เนื่องจากทำให้ความดันตาสูงได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช และ โรงพยาบาลกรุงเทพ