xs
xsm
sm
md
lg

5 โรคภัย ที่มากับน้ำท่วม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงกลาง ๆ ของฤดูฝนนั้น แน่นอนว่าหลายๆ คน คงจะประสบกับภาวะของน้ำท่วมในบางพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตแล้ว ในเรื่องสุขภาพก็เป็นอีกปัจจัยที่จะต้องเผชิญตามมาด้วย ซึ่งเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายนั้น จะต้องเตรียมรับมือให้ดีกับ 5 โรคภัยที่มากับน้ำท่วม


1. โรคน้ำกัดเท้าหรือ ฮ่องกงฟุต

เรียกว่าโรคนี้จะเป็นโรคฮิตประจำการน้ำท่วมเลยก็ว่าได้ โดยจะเริ่มมีอาการคัน นำมาก่อน ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่เท้า เมื่อเท้าเปียก ๆ ชื้น ๆ จะเป็นบ่อเกิดของเชื้อราที่เรียกว่า Dermatophytes เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น บวกกับ หากเกิดอาการในช่วงน้ำท่วม ซึ่งมักจะเกิดจากเท้าที่เปียกๆ ชื้นๆ บ่อยๆ แล้วไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี นั่นคือที่มาของโรคน้ำกัดเท้านั่นเอง

สำหรับอาการของโรคน้ำกัดเท้านั้น จะมีอาการคันในที่ต่างๆ โดยอาจจะเริ่มที่คันตามซอกนิ้วเท้า หรือตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งหากมีการคันที่มากเกินไป ก็จะมีการลอกออกเป็นขุย ๆ เป็นผื่นที่เท้า โดยที่พบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้ว แต่ก็สามารถลุกลามไปถึงฝ่าเท้าและเล็บได้

ซึ่งการรักษาโรคราที่เท้านั้น ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้น ใช้ครีมรักษาเชื้อรา ส่วนการป้องกันโรคก็มีหลักง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ กับ ถ้าจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำควรสวมรองเท้าบู๊ททุกครั้ง

2. โรคอุจจาระร่วง

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรคที่มากับภาวะน้ำท่วม โดยการสัมผัสเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคจากสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำท่วม หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดชำระล้างภาชนะใส่อาหาร เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ ขยะมูลฝอยที่บูดเน่า หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้

สำหรับการป้องกันของโรคนี้นั้น สามารถแบ่งได้ดังนี้

1. ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำบรรจุขวด แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำที่ท่วม ควรทำการต้มให้สุกก่อน

2. ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง ก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย

3. ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้

4. กินอาหารที่ทำสุกใหม่ ๆ ที่ไม่มีแมลงวันตอม

5. รักษาความสะอาดในเรื่องการกำจัดขยะมูลฝอย การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง

6. หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วมเพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ (ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำแล้วโรยปูนขาว ปิดปากถุงให้แน่น รอเรือเก็บขยะมาเก็บ)

7. ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายเองควรปรึกษาแพทย์

3. โรคตาแดง

ในภาวะน้ำท่วมนั้น โรคตาแดงถือว่าเป็นโรคที่เผยแพร่ได้ง่าย โดยอาการตาแดงเกิดจากเชื้อไวรัส แม้ว่าโรคนี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่รีบรักษาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ โดยอาการของโรค ก็จะมีการเคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก อาการจะมีประมาณ 10 วัน

ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตาแดง มีดังนี้คือ

1. ใช้มือสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคขยี้ตา

2. ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรค หรือเล่นกับผู้ป่วย

3. แมลงวันหรือแมงหวี่ตอมตา หรือฝุ่นละอองเข้าตามาก ๆ จนตาอักเสบ

4. อาบน้ำในคลองสกปรก หรือที่มีตาแดงระบาด

สำหรับการป้องกัน คือ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคตาแดง ล้างหน้าและมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรเอามือขยี้ตา ส่วนการรักษา คือพักสายตาบ่อย ๆ ประคบตาด้วยผ้าเย็น และเช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น


4. โรคฉี่หนู 

“โรคฉี่หนู” ก็เป็นภัยใหญ่สำคัญที่มากับน้ำท่วม โดยเชื้อนี้สามารถพบได้สัตว์หลายชนิด แต่พบมากในหนู ซึ่งผ่านจากฉี่ของหนู และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำ แล้วเชื้อดังกล่าวนี้ที่อยู่ตามแหล่งน้ำ ก็สามารถเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง และหากบริเวณบาดแผลไปสัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนู เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ตัวผู้ป่วย และก่อให้เกิดโรคได้

สำหรับสาเหตุนั้น เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans ที่มักจะพบการระบาดในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูฝนและมีน้ำขัง ส่วนการติดต่อของโรค จะมาผ่านทางเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน แล้วเข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ที่ตา ปาก จมูก โดยหลังจากที่ได้รับเชื้อโดยเฉลี่ย 10 วันผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรค คือ

- ปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือหลังตา บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง

- ปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง เวลากด หรือจับจะปวดมาก

- ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น อาการต่าง ๆ อาจอยู่ได้ 4-7 วัน

นอกจากมีอาการดังกล่าวที่ว่ามาแล้วนั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง ซึ่งถ้าเป็นโรคดังกล่าวนั้น ให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และยาที่มักจะได้รับ คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลิน หรือ doxycycline แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

การป้องกัน

- ทำการหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท

- ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำเมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้งและรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที

- เมื่อมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อน่อง โคนขา หลังหรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์ด่วน

5. โรคเครียด

ในภาวะเช่นนี้ ทุกคนที่ประสบภัยน้ำท่วม หรือกำลังอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจถูกน้ำท่วม ก็จะเกิดภาวะเครียดเป็นธรรมดา จะมากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยส่วนตัวของผู้นั้นเองว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเพียงใด และอีกปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของความเครียด คือขนาดของความเสียหาย หากขนาดของความเสียหายมาก ก็มีโอกาสที่จะมีความเครียดรุนแรงได้

ซึ่งถ้าหากมีอาการเครียดมากจนทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเสียไป นอนไม่หลับ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ และแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดช่วย ในรายที่มีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน และในรายที่อาการมาก อาจต้องพบจิตแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล


กำลังโหลดความคิดเห็น