โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (บางครั้งอาจจะเรียกว่า โรคใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก) หรืออัมพาตเบลล์ นั้น คือภาวะอาการที่เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าในช่งประมาณครึ่งซีก ซึ่งทำให้ไม่สามารถขยับใบหน้าซีกนั้นได้ โดยเป็นผลมาจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแสดงสีหน้า เกิดการไม่ทำงาน ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นอาการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 นั่นเอง
สาเหตุของโรค
โรคนี้พบได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งในคนที่แข็งแรงดีมาก่อน มักเกิดในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อยจนทำให้มีการติดเชื้อไวรัส เช่นไวรัสเริม ไวรัสไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ยังพบบ่อยในสตรีตั้งครรภ์, ผู้ป่วยเบาหวาน, มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือต่อมน้ำเหลือง, ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV เป็นต้น
สำหรับอาการของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนั้น จะเกิดขึ้นได้ดังนี้
-เมื่อดื่มน้ำจะมีน้ำไหลออกมาจากมุมปาก
-ปากเบี้ยว มุมปากตก พูดไม่ชัด
-หลับตาได้ไม่สนิท เปลือกตาล่างเปิดออก
-ยักคิ้วไม่ขึ้น
-อาจมีอาการปวดหู และได้ยินเสียงดังมากผิดปกติระยะแรก
-ชาบริเวณใบหน้าครึ่งซีก
-ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ หรือมีเศษอาหารตกค้างอยู่บริเวณกระพุ้งแก้มข้างที่มีอาการ
โรคหน้าหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หายได้ แต่ควรป้องกัน
สำหรับวิธีการรักษาของโรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนั้น สามารถแบ่งการรักษาได้ดังนี้
รักษาด้วยการใช้ยาประเภทต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ การให้ยาฆ่าเชื้อไวรัส การกายภาพบำบัด โดยการฝึกหรือกระตุ้นให้กล้ามเนื้อใบหน้าที่อ่อนแรงได้ทำงาน เพื่อรอการฟื้นตัวของเส้นประสาท
รักษาโดยการกายภาพบำบัด โดยสามารถทำได้ดังนี้
-ทำการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ยังอ่อนแรง บริหารท่านละ 10 – 20 ครั้งต่อรอบ
-ทำการประคบร้อนบริเวณใบหน้าซีกที่มีอาการ ใช้เวลาประมาณ 15 – 20 นาทีต่อครั้ง วันละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า แต่ควรระวังการประคบร้อนในรายที่มีอาการชาของใบหน้า
-กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีอาการอ่อนแรงด้วยไฟฟ้า เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อมีการหดคลายตัวเป็นการชะลอการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ มักใช้ในรายที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด
-การนวดใบหน้า โดยเป็นการใช้ปลายนิ้วนวดคลึง ใบหน้าเบาๆ ช้าๆ ตามแนวกล้ามเนื้อใบหน้าแต่ละมัด เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลศิครินทร์ และ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่