แน่นอนว่าการดื่มน้ำนั้น ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เพราะจะช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลอยู่พอสมควร แต่ในขณะเดียวกันนั้น หากดื่มน้ำมากเกินไป ก็อาจจะส่งผลให้เป็น “ภาวะน้ำเป็นพิษ” ได้เช่นเดียวกัน
อะไรคือ “ภาวะน้ำเป็นพิษ”
ภาวะน้ำเป็นพิษ คือการดื่มน้ำที่มากจนเกินไป จนทำให้สมองหยุดทำงานโดยชะงัก และส่งผลให้ปริมาณน้ำในเลือดมาก เพราะน้ำอาจสามารถเกิดความเจือจางในส่วนของอิเล็กโทรไลต์ในเลือด และทำให้โซเดียมในเลือดมีการลดลง จนอาจเกิดภาวะบวมในร่างกาย และอาจทำให้มีการกระทบกับเซลส์สมอง จนร้ายแรงอันตรายจนยถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
ดื่มน้ำแค่ไหนถึงเกิด “ภาวะน้ำเป็นพิษ”
สัญญาณที่เป็น “ภาวะน้ำเป็นพิษ” นั้น จะเกิดขึ้นหลังจากการดื่มน้ำในปริมาณถึง 3-4 ลิตร ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือมีการดื่มสูงถึง วันละ 6-7 ลิตร และมีอาการดังนี้
-ปวดศีรษะ
-มีการเกิดตะคริว ชัก หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
-เกิดการคลื่นไส้และอาเจียน
-ง่วงนอนและอ่อนเพลีย
-ถ้าเป็นกรณีที่รุนแรง อาจเกิดการช็อค หรือ หมดสติได้
บุคคลใดมีความเสี่ยงที่จะเกิด “ภาวะน้ำเป็นพิษ”
-ผู้ที่ใช้ยากระตุ้นต่าง ๆ แล้วต้องเต้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง
-ผู้ที่เคยใช้ยาเสพติด หรือ แอลกอฮอล์ แล้วพยายามกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป ด้วยการดื่มน้ำมากๆ
-ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นเวลานาน แล้วพยายามจะคืนน้ำด้วยการดื่ม
-ผู้ที่มีความพยายามในการลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำมากๆ
-ทารกแรกเกิดที่คุณแม่พยายามหลีกเลี่ยงการให้นม ด้วยการใช้อาหารเจืองจางกับน้ำ ซึ่งอาจรวมไปถึงทารกที่มีคุณแม่ใช้ยาเสพติดด้วย
-นักกีฬาที่มีความอดทนสูง
-ผู้ที่มีเงื่อนไขทางจิตเวชบางอย่าง เช่น โรคจิตเภท และโรคอารมณ์สองขั้ว
ดื่มน้ำอย่างไรให้ไม่เกิดการเป็นพิษ
เพื่อไม่ให้เกดความเข้าใจผิด หรือ ตื่นตระหนกมากจนเกินไป ลองทำตามสูตรเหล่านี้ดู บางทีก็อาจช่วยให้การดื่มน้ำนั้น ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย แถมทำให้มีสุขภาพที่ดีได้ด้วยนะ
-หลังจากที่ตื่นนอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพราะการดื่มน้ำในช่วงนี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
-เมื่อมาถึงช่วงสาย ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว โดยจะเป็นการดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนรับประทานอาหารเช้า 1 ชั่วโมง และถัดมาเวลา 09.00-11.00 น. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ในช่วงเวลานี้ร่างกายจะทำงานเต็มที่ แล้วจะเกิดของเสียขึ้น การดื่มน้ำช่วงนี้เพื่อชำระล้างของเสียออกไปจากร่างกาย
-พอมาถึงช่วงก่อนมื้อเที่ยง ให้ดื่มน้ำ 1/2 แก้ว ก่อนรับประทานอาหาร 1 ชม. ไม่ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ เพราะจะทำให้การย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร
-จนมาถึงครึ่งวันในช่วงบ่าย ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว โดยให้ใช้การจิบน้ำระหว่างวันไปเรื่อย ๆ เพื่อดับกระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวพรรณ ไม่ต้องดื่มน้ำรวดเดียวทั้ง 2 แก้ว
-มาจนถึงช่วงเวลาก่อนมื้อเย็น ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ให้ดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 ชม. 1 แก้ว และถัดมาเวลา 19.00-21.00 น.ให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว โดยจิบน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดี
-ปิดท้ายในช่วงก่อนนอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว ควรดื่มก่อนที่จะเข้านอน หรือไม่เกินเที่ยงคืน เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : hellokhunmor.com และ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ