ไม่ตรวจซะอย่าง ก็ไม่รู้ว่าติดเชื้อ!? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

แม้ในทุกวันนี้จะมีชุดการตรวจ ATK ทำให้เกิดความสะดวกในการตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าการตรวจ ATK ว่าไม่พบเชื้อ ก็อาจไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะปลอดภัยว่าไม่มีการติดเชื้อจริง ๆ ในทางตรงกันข้ามเครื่องดื่มและอาหารบางชนิดก็อาจมีผลกลับทำให้การตรวจด้วย ATK ให้ผลผิดพลาดว่าเกิดการติดเชื้อ ทั้ง ๆ ที่คน ๆ นั้นอาจไม่ได้ติดเชื้อเช่นกัน

ในขณะที่ผู้ที่ป่วยด้วยโควิด-19 แม้จะมีอาการดีขึ้นแล้ว หรือแม้กระทั่งหายแล้ว ก็อาจจะยังตรวจพบเชื้อได้ทั้ง ATK หรือ RT-PCR ด้วยเพราะยังมีทั้งเชื้อเป็นและ “เชื้อตาย” ที่ยังเหลือให้ตรวจพบได้ ดังนั้น การตรวจพบเชื้อจึงยังสามารถตรวจพบได้ในผู้ป่วยที่หายป่วยแล้ว (แต่ยังตรวจพบเชื้อตาย) และผู้ที่ยังไม่หายป่วย (ตรวจพบเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่)

ความสับสนที่กล่าวมาข้างต้นจะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่ “ตรวจ” เป็นประจำเท่านั้น

แต่ในชีวิตจริง ๆ การบังคับตรวจเป็นประจำในหลายสถานที่เริ่มหย่อนยานลง ผ่อนปรนมากขึ้น จนเป็นผลทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากอาจไม่ได้ตรวจ ATK เลย ด้วยเพราะมีอาการน้อยมาก จนอาจไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อโอมิครอนไปแล้ว


เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่มีความรุนแรงน้อย จึงทำให้คนที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการ จนถึงขั้นไม่รู้ตัว และยังคงใช้ชีวิตปกติและแพร่เชื้อต่อไป ตัวเลขของการระบาดจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลย

เช่นเดียวกันกับประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้ฉีดวัคซีนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เข็ม ยิ่งมีความรุนแรงของโรคลดลง ก็มีความมั่นใจใช้ชีวิตปกติมากขึ้น เมื่อมาผนวกกับโอมิครอนที่ระบาดง่ายแต่ไม่รุนแรงด้วยตัวไวรัสชนิดนี้อยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการเพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงไม่ได้มีการตรวจเชื้อใด ๆ และไม่ได้มีการกักตัวเองด้วย การแพร่ระบาดจึงไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทำให้เชื่อว่า ในความเป็นจริงแล้วคงจะมีการติดเชื้อจำนวนมากมายมหาศาล และคงจะมีผู้ติดเชื้ออีกจำนวนมากที่ติดเชื้อไปแล้ว และหายป่วยไปเองไปแล้วด้วยซ้ำไป

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ต่อให้ฉีดวัคซีนกี่เข็มก็ยังมีความเสี่ยงติดเชื้อได้ทุกคน เพราะวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้่ทำได้เพียงความคาดหวังว่าจะช่วยลดความรุนแรงลง ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันก็ยังพิสูจน์ได้ยากต่อเชื้อโอมิครอนที่ไม่ค่อยมีความรุนแรงอยู่แล้วโดยไม่เกี่ยวกับวัคซีน แล้ววัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงลงไปได้มากอีกเท่าไหร่กันแน่

ปัญหาสำคัญของวัคซีนในวันนี้ก็คือ การไม่ยอมรับผลข้างเคียงในระยะกลางหรือระยะยาวอันเนื่องมาจากการฉีดวัคซีน ทำให้ชีวิตของผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่เหมือนเดิม มีอาการหลากหลาย เช่น ปัญหาลิ่มเลือด ปัญหาระบบประสาท ปัญหาเหนื่อยหอบง่าย ปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนไหวง่ายขึ้น ปัญหาโรคเดิมที่ร่างกายจัดสมดุลได้แล้วกลับมากำเริบใหม่ และรักษายากกว่าเดิม รวมถึงมีการเสียชีวิตด้วย ฯลฯ

การไม่ยอมรับว่าอาการหล่านี้เป็นผลมาจากการฉีดวัคซีน ทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนถูกทอดทิ้งจำนวนมาก และที่ทราบได้ก็เพราะในคลินิกการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้พบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนมากขึ้นทุกวัน ไม่แพ้คนที่มีอาการ “ลอง โควิด” ที่เจ็บป่วยต่อเนื่องหลังจากหายป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19

ในสถานการณ์ที่ทีผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ตรวจ เต็มบ้านเต็มเมือง ทางเลือกหนึ่งคือการกินฟ้าทะลายโจรเมื่อสงสัยว่าไปในสถานที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก รวมทั้งรีบกินฟ้าทะลายโจรเหมือนเป็นผู้ป่วยเมื่อทราบว่าผู้ที่ใกล้ชิดติดเชื้อแล้ว และรวมถึงเมื่อมีอาการที่ต้องสงสัย เช่น ไอ เจ็บคอ ไข้รุม ๆ มีน้ำมูก ก็ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด

แม้ในความเป็นจริงจะไม่สามารถกล่าวได้ว่า “ฟ้าทะลายโจร”ป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ แต่ฟ้าทะลายโจรจะสามารถใช้ในการ “หยุดยั้งเอนไซม์ที่ใช้การแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของไวรัส” แล้วปล่อยหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกันในการกำจัดเชื้อโควิด-19 ตามธรรมชาติ ดังนั้น ฟ้าทะลายโจรจึงเป็นยาพื้นฐานที่ใช้รับประทานเมื่อสงสัยนี้ก็ช่วยลดความรุนแรงเช่นกัน เพียงแต่ว่าต้องไม่กินฟ้าทะลายโจรเยอะ ๆ ทุกวัน

แต่ด้วยวิธีการข้างต้น ผู้เขียน “เป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว” ก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ 2 ปีเศษแล้ว โดยไม่ได้ติดเชื้อเลย และใช้ฟ้าทะลายโจรในการช่วยลดจำนวนเชื้อเมื่อเกิดความสงสัย และถึงแม้จะติดเชื้อจริง ๆ สักวันหนึ่ง การใช้ฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาให้เร็วที่สุดก็ช่วยทำให้โรครุนแรงลดลงได้เช่นกัน

ดังนั้น แม้จะมีคนตรวจเชื้อน้อยลง แต่อย่างน้อยเมื่อต้องสงสัย หรือมีอาการ การใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยได้ ไม่ว่าจะรู้ด้วยการตรวจว่าติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต