xs
xsm
sm
md
lg

ยุคนี้เลี้ยงลูกให้ได้ดั่งใจ พ่อแม่ต้องปรับตัวอย่างไร / ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สังคมไทยยุคนี้มีประเด็นท้าทายด้านประชากรหลายมิติ คู่รักที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีไม่น้อยที่ตั้งธง ”พร้อมไม่ท้อง” คือตั้งเป้าหมายที่จะไม่มีลูก เพราะห่วงปัญหาที่มีแนวโน้มหนักขึ้นในอนาคตก็จะยิ่งซ้ำเติม

ปัญหาอัตราประชากรเกิดใหม่ที่ลดลง แต่ยังมีไม่น้อยประเภทแม่วัยใสที่ “ท้องไม่พร้อม” ของคู่รักวัยรุ่นที่ขาดจุดมุ่งหมายชีวิต ไม่มีเป้าหมายและแผนชีวิต จึงเป็นผลจากอารมณ์เหนือเหตุผล

ขณะเดียวกัน สังคมยุคดิจิทัลในปัจจุบัน บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) และสื่อสังคมออนไลน์ เปิดโอกาสให้คนรุ่นเกิดใหม่ได้ใช้เครื่องมือที่สามารถรับส่งข้อมูล ข่าวสารและความคิดเห็นได้อย่างสะดวกรวดเร็วและหลายรูปแบบ

การรับรู้-เรียนรู้-เลียนแบบ-เปรียบเทียบได้หล่อหลอมวิธีคิด จึงมีผลเปิดกว้างต่อค่านิยม ทัศนคติ พฤติกรรม และรสนิยมในการใช้ชีวิต Lifestyle ที่ต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างหลากหลาย จนมักมีคนบ่นว่า การเลี้ยงลูกยุคนี้ยากอาจไม่ได้ดั่งใจ

ประเด็น “ช่องว่างระหว่างวัย” ซึ่งมีอยู่ทุกยุคสมัย แต่ยุคดิจิทัลทุกวันนี้ ช่องว่างของความเข้าใจและวิถีชีวิตที่อาจกว้างขึ้น หากพ่อแม่ไม่เรียนรู้หรือปรับตัวไม่ทัน การตัดสินใจหรือการกระทำของพ่อแม่อาจจะกลายเป็น “หวังดี ประสงค์ร้าย” โดยไม่ตั้งใจ

แต่ อาจารย์ชาตรี เตชะปภา ผู้เขียนหนังสือ “เชื่อลูกอย่างไร ให้ลูกเชื่อเรา” หรือ TRUSTS Parenting เชื่อว่าพ่อแม่สามารถขับเคลื่อนครอบครัวให้ราบรื่นไปพร้อมกับลูก ๆ ได้อย่างอยู่ดี-มีสุข (well-Being)

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอน “วิธีเลี้ยงลูก” แต่บอกกระบวนการสร้างความเข้าใจลูกในสภาพแวดล้อมยุคใหม่และการปรับตัวเตรียมใจของพ่อแม่เพื่อสร้างปัจจัยเอื้อให้เกิดความรักและความเชื่อใจซึ่งกันและกัน


แก่นสาระสำคัญ ปัจจัย 3 มิติของการดูแลลูกแบบ T-R-U-S-T-S ด้วยการใส่ใจ3ชั้น เรียงลำดับตามตัวอักษรนำได้แก่

ชั้นที่ 1 การสื่อสารภายในใจของพ่อแม่


Trust ความเชื่อมั่น เช่นเราเชื่อไหมว่าลูกเป็นคนดี เป็นคนเก่ง ความเชื่อของเราจะเป็นตัวกำหนดการกระทำและท่าทีที่มีต่อลูก หากเป็นไปในทางบวก ย่อมทำให้ลูกรู้สึกและพัฒนาจิตใจไปในทางบวก

แต่ถ้าลูกคิดว่าพ่อแม่เห็นว่าเขาเป็นคนไม่ดี ก็จะไม่มีภาพลักษณ์ของคนดีที่เขาจะต้องรักษาใช่ไหม

ผู้เขียนแนะว่าถ้าพ่อแม่ยอมโง่กับลูกบ้าง อย่าไล่บี้จนลูกจนตรอก การให้ลูกเป็นคนดีในสายตาเราตลอดเวลา ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สั่งสอนเวลาลูกทำผิด แต่เราจะไม่สอบสวนแบบคาดคั้น แม้เขาจะผิดจริงก็ตาม เพราะต้องการให้เขายังมีภาพลักษณ์เด็กดีที่ต้องรักษา

Respect ความเคารพ คือ เคารพในความเป็นตัวตนของลูก เคารพในสิทธิส่วนบุคคลของลูก เคารพในศักดิ์ศรีของลูก

Unconditional Love ความรักที่ปราศจากเงื่อนไข จะไม่ใช่ภาวะที่เด็กต้องทำอะไรหลายอย่างเพื่อให้ได้ความรักจากพ่อแม่ เด็กเรียนรู้ว่าความรักมันมีเงื่อนไข และรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้รักเขา รักสิ่งที่เขาทำตามใจพ่อแม่ และคิดว่าความรักมีจำกัด ตัวเองก็รู้สึกว่าขาดแคลนความรัก

ชั้นที่ 2 การสื่อสารจากใจพ่อแม่สู่ใจลูก

Seamless ความเป็นเนื้อเดียวกัน การแสดงออกด้วยภาษากายหรือคำพูด ย่อมกลมกลืนสอดคล้องเพื่อสื่อสารถึงความรู้สึกนึกคิดภายในของเราให้ลูกรับรู้ได้ว่ามีความเชื่อมั่นในตัวลูก เคารพในตัวตนของเขา และมีความรักแบบไม่มีเงื่อนไข

Technics เทคนิคการสื่อสารกับลูก ที่ผู้อ่านสามารถเลือกได้ถึง 16กระบวนท่าอย่างครบเครื่อง ตามที่ถนัดจะทำได้ เช่น

1.การมีพิมพ์เขียวที่คาดหวังให้ลูกมีคุณลักษณะที่ดี ก่อนส่งเสริมและสนับสนุน

2.สร้างความเป็นแนวร่วม ให้รู้สึกเป็นพวกเดียวกัน การรับฟังจะง่ายขึ้น

3.แสดงออกด้วยภาษากายเช่น แววตา สีหน้า ในการสัมผัสโอบกอดซึ่งมีผลในการสื่อสารมากที่สุด

4.การใช้อุปมาหรือนิทานเปรียบเปรย

5.การเปลี่ยนกรอบความคิด ทำให้เห็นปัญหาในมุมมองใหม่ และอาจพบวิธีแก้ปัญหาได้

ชั้น 3 การสร้างระบบนิเวศแห่งความรัก

ด้วยวิธีการ 2 ชั้นก่อนหน้า นับว่าได้สร้างปัจจัยเอื้อให้เกิดระบบนิเวศหรือสภาพแวดล้อม( Ecosystem) แห่งความรัก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของครอบครัว ซึ่งต้องบำรุงดูแลเอาใจใส่ก็เหมือนการปลูกต้นไม้

ตอนหนึ่งของบทส่งท้ายหนังสือเล่มนี้อ้างถึงงานวิจัยที่ใช้เวลานานที่สุดในโลกถึง 79 ปี มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ได้ติดตามชีวิตคน 724 คน โดยสัมภาษณ์ตลอดช่วงชีวิตในการทำงาน สุขภาพและครอบครัว ตอนเริ่มต้นถามว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข 80% ตอบว่าคือ ความสำเร็จ ร่ำรวยและการงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนจบงานวิจัย ก็ค้นพบว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุข คือความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและคนใกล้ชิดในชีวิต

อาจารย์ชาตรี เตชะปภา กล่าวย้ำว่า “มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราทุ่มเทสร้างความสำเร็จ แล้วไม่มีคนที่รักมาชื่นชมความสำเร็จไปกับเรา มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราทุ่มเทสะสมความมั่งคั่ง แล้วกลับมาพบว่าลูกหลานทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิงสมบัติกัน หรือลูกหลานหลงเดินทางผิด ติดยา ติดการพนัน หรือเป็นอาชญากรสังคม”

หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นที่นิยมชมชอบของสังคมร่วมสมัย เพราะตอบโจทย์ความท้าทายชีวิตของคนที่มีลูกแล้ว หรือวางแผนจะเริ่มมีลูก ก็จะได้คู่มือ “พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกได้ดีสมใจรัก”

ขณะเดียวกัน คนที่มีวิธีคิดและวิถีปฏิบัติตามแนวทางของหนังสือเล่มนี้ ก็จะกลายเป็น “พ่อแม่ที่ลูกชื่นชอบ” และภูมิใจที่ได้ร่วมครอบครัวแบบเห็นอกเห็นใจกัน และอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น มีความสุข

อาจารย์ชาตรี เตชะปภา เป็นคนช่างสังเกต และมีมุมมองต่อปรากฏการณ์ที่ประสบพบเห็นอย่างนักสังเคราะห์ ได้ศึกษาเรียนรู้ผ่านแว่นใส แนววิชาการด้านจิตวิทยาเชิงบวก ทำให้ตกผลึกเป็นหลักการสร้างสรรค์ที่มุ่งเห็นผลลัพธ์ (Outcome based) ซึ่งเป็นผลดีกับคนเป็นพ่อแม่และลูก

ทั้งนี้ จากการตระหนักรู้ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ประสบการณ์ตอนถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่และเมื่อตัวเองอยู่ในบทบาทพ่อ เคียงคู่กับคู่ชีวิตในบทบาทแม่ ได้ร่วมกันปลูกฝังเลี้ยงดูลูกสาว 2 คนที่คนหนึ่งเป็นแพทย์แล้วและคนรองรวมทั้งลูกชายคนสุดท้องก็จะเป็นว่าที่คุณหมอในอนาคต

ใครที่รู้ข้อมูลแบบนี้ก็จะชื่นชมว่า “เลี้ยงลูกเก่ง” เป็นหมอได้ทุกคน แต่ครอบครัวนี้ พ่อแม่ไม่ได้กะเกณฑ์ มีแต่ส่งเสริมและให้คำปรึกษาหารือ ลูกๆ จึงมีอิสระทางความคิด เช่นได้เลือกเรียนสาขาที่ตัวเองชอบ และประสบความสำเร็จอย่างสบายใจ

ด้วยความรอบรู้ในหลักการบริหาร ที่สนใจศึกษาเรื่องการพัฒนาสุขภาพและแนวคิดการสื่อสารกับจิตใต้สำนึกแบบ NLP โดยมีจุดมุ่งหมายในการถนอมรักครอบครัวให้สงบสุขและเจริญก้าวหน้าอย่างดีงาม

หนังสือ “เชื่อลูกอย่างไร ให้ลูกเชื่อเรา” จึงมีประโยชน์ต่อสังคมในการส่งเสริมคนเป็นพ่อแม่ ด้วยวิธีคิดเชิงบวก มุ่งให้เกิดผลลัพธ์ที่สมดุลและยั่งยืนจากการเลี้ยงดูลูกอย่างถูกวิธี เพื่อให้พ่อแม่และลูกต่างมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นต่อกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวและมีความสุข

.........................................................
ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ : เชื่อลูกอย่างไร ให้ลูกเชื่อเรา
ผู้เขียน : ชาตรี เตชะปภา
จัดจำหน่าย : ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


แนะนำหนังสือ


อินฟลูเอนเซอร์ พลังการขายให้เหมือนไม่ได้ขาย
ผู้เขียน : ซาร่า แมคคอร์ควอเดล
ผู้แปล : ไอริสา ชั้นศิริ
สำนักพิมพ์ อัมรินทร์ How To
ราคา 265 บาท
หนังสือที่คุณต้องอ่าน ไม่ว่าคุณจะขายของ ขายแบรนด์ หรือกระทั่งขายตัวคุณให้โลกจำ เมื่ออินฟลูเอนเซอร์คืออิทธิพลใหม่ที่โลกการขายไม่อาจปฏิเสธ


MUJI
ผู้เขียน : บริษัทเรียวฮิน เคอิคะคุ
ผู้แปล : ทินภาส พาหะนิชย์
สำนักพิมพ์ เชนจ์พลัส
ราคา 245 บาท
เจาะกลยุทธ์ทุกด้านของบริษัทบริษัทเรียวฮิน เคอิคะคุ ผู้ให้กำเนิด "MUJI" ตั้งแค่ค่านิยม ความมุ่งมั่นของบริษัท การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต


อ่านใจคน 9 นิสัยในพริบตา
ผู้เขียน : อวี่จิ้ง
ผู้แปล : กวินทร์ เชิญกิตติภาส
สำนักพิมพ์ Dream & Passion
ราคา 249 บาท
อ่านใจและนิสัยแท้ ๆ ที่อยู่ในตัวคุณและคนรอบข้าง เพื่อให้คุณจัดการกับตัวเองและผู้อื่น จนประสบความสำเร็จและมีความสุข


52 วิธีฝึกสมองให้จําอะไรได้ง่ายๆ
ผู้เขียน : Dominic O'Brien
ผู้แปล : สมชัย เบญจมิตร
สำนักพิมพ์ Bee Media
ราคา 155 บาท
หนังสือเล่มนี้จะช่วยฝึกสมอง เพื่อให้เกิดความจำของคุณดีขึ้นด้วยวิธีง่าย ๆ พร้อมแบบฝึกหัดและเนื้อหาที่กระชับ คุณจะรู้สึกแปลกใจว่าคุณสามารถเรียนรู้วิธีต่าง ๆ และนำไปใช้ได้ผลอย่างรวดเร็ว


กำลังโหลดความคิดเห็น