อย่างที่รู้ ๆ กันว่าช่วงนี้เนื้อหมู เนื้อไก่ มีราคาที่สูงขึ้นมาก จนมีกระแสว่า “ลองหันมารับประทานเนื้อจระเข้กันเถอะ” เพราะมีราคาที่ถูกกว่ามากและมีคุณค่าทางด้านโภชนาการมากเช่นกัน
เนื้อจระเข้เป็นแหล่งของวิตามินบี 12 ซึ่งเพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาวเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้เซลล์ของร่างกายดูดซึมออกซิเจนได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
กระดูกอ่อนของจระเข้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระและการต่อต้านมะเร็งมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์
ทางด้าน ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ ได้อธิบายไว้ว่าเนื้อจระเข้มีคุณค่าทางอาหาร มีพลังงานต่ำ ไขมันน้อย สามารถนำมาปรุงได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่การต้ม เคี่ยวในน้ำซุป ไปจนถึงปิ้ง ย่าง ทอด และผัด
คุณค่าทางโภชนาการสำหรับ เนื้อจระเข้
•เนื้อจระเข้ 100 กรัม มีพลังงาน 99 กิโลแคลอรี
•โปรตีน 21.5 กรัม
•ไขมัน 2.9 กรัม
• คอเลสเตอรอล 65 มิลลิกรัม
หากนำมาเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่มีการบริโภคกันมากที่สุด เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ในปริมาณ 100 กรัม เท่ากัน พบว่า
คุณค่าทางโภชนาการสำหรับ เนื้อหมู
•มีพลังงาน 107 กิโลแคลอรี
•โปรตีน 22.0 กรัม
•ไขมัน 2.0 กรัม
• คอเลสเตอรอล 55 มิลลิกรัม
คุณค่าทางโภชนาการสำหรับ เนื้อไก่
•มีพลังงาน 145 กิโลแคลอรี
•โปรตีน 22.2 กรัม
•ไขมัน 6.2 กรัม
• คอเลสเตอรอล 62 มิลลิกรัม
คุณค่าทางโภชนาการสำหรับ เนื้อวัว
•มีพลังงาน 121 กิโลแคลอรี
•โปรตีน 21.2 กรัม
•ไขมัน 4.0 กรัม
• คอเลสเตอรอล 51 มิลลิกรัม
ดังนั้นช่วงนี้เนื้อหมูมีราคาแพงขึ้นมาก ผู้บริโภคอาจเลือกบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนชนิดอื่น เช่น ปลา ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน และเพิ่มการกินผัก และผลไม้หลากสีให้มากขึ้น ดื่มนมเหมาะสมตามวัย เพื่อให้ได้รับอาหารครบหมู่
หากเลือกรับประทานเนื้อจระเข้ ควรทำให้สุกก่อนรับประทาน ไม่ควรรับประทานแบบสุก ๆ ดิบ ๆ และควรล้างทำความสะอาดให้ดีก่อนนำมาปรุงอาหาร
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงประกอบจาก : กรมอนามัย
ข่าวโดย : สมาพร ตุ้มเพ็ชร