ทางเลือกสารสกัดกับผงฟ้าทะลายโจรคงแล้วแต่ผู้บริโภคว่าจะเชื่อสารสกัดหรือผงหยาบ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วมีความเชื่อมั่นต่อผงหยาบฟ้าทะลายโจรมากกว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจร เนื่องด้วยเพราะมีประวัติใช้กันมาอย่างยาวนานทั้งปริมาณที่ใช้สำหรับการรักษาและความปลอดภัย

แม้ว่าวันนี้จะมีความเห่อโปรโมทสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “สารแอนโดรกราโฟไลด์” ว่ามีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์และโปรตีนหลายชนิดของเชื้อโรคร้ายนี้ และเป็นที่มาทำให้โรงงานหลายแห่งต้องผลิตสารสกัดฟ้าทะลายโจรโดยยึดมั่นที่ตัวสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็น “หลักเท่านั้น” ว่าต้องมีเท่าไหร่จึงจะสามารถรักษาเชื้อโรคร้ายนี้ได้
หลักฐานหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคืองานวิจัยร่วมของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสวีเดนและอินเดีย ซึ่งได้พบว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด”ในฟ้าทะลายโจรที่ทำงานร่วมกันในการยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวนี้ได้ถูกยอมรับโดยวารสารทางด้านชีวโมเลกุลและพลวัตรที่ชื่อว่า Journal of Biomolecular Structure and Dynamics เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด” ที่ไม่ใช่แค่สารแอนโดรกราโฟไลด์เท่านั้นที่มีกลไกยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้เท่านั้น แต่มีสารสำคัญถึง 4 ชนิดที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
สารแอนโดรกราโฟไลด์ หรือ AGP 1, 14-deoxy 11,12-didehydro andrographolide หรือ AGP2 รวมทั้งสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 และสาร 14-deoxy andrographolide หรือสาร AGP4 ซึ่งได้ทำหน้าที่ร่วมกันในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 [1]
โดยเฉพาะสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 หรือสาร AP3 ที่มีบางบริษัทสกัดทิ้งออกไปนั้น กลับมีส่วนสำคัญเข้าไปสู่เป้าหมาย 4 ตำแหน่งของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่เอนไซม์ 3 L main protease หรือ 3CLpro, Papain-like proteinase หรือ PLpro, RNA-directed RNA polymerase หรือ RdRp และโปรตีนของหนามโควิด (spike protein) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 [1]
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ในขณะที่บัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนด “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อลดความรุนแรงของโรคหลังติดเชื้อสำหรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรืออาการน้อย
แต่ในขณะที่เรือนจำกรุงเทพได้ใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 12 แคปซูลต่อวัน ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เพียง 132 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น เมื่อกินผงหยาบฟ้าทะลายโจรไป 5 วัน ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยปราศจากเชื้อโรคร้ายนี้ในวันที่ 8 ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้เวลาถึง 12 วัน [2]

นั่นเป็นตัวอย่างที่อาจแสดงให้เห็นว่า “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรอาจมีอะไรที่มากกว่า “สารสกัด” แต่กลับให้ผลการรักษาที่ดีเช่นนี้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในเรือนจำกรุงเทพนั้น การใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 12 แคปซูลต่อวันนั้น เทียบน้ำหนักเท่ากับผงหยาบฟ้าทะลายโจรเพียงแค่ 4.8 กรัมต่อวัน ซึ่ง “น้อยกว่า” มาตรฐาน “ต่ำสุด”ของการให้ผงฟ้าทะลายโจรที่เป็นไข้หวัดธรรมดาที่ 6 กรัมต่อวันเสียด้วยซ้ำ
และในขณะที่ผงฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ในบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น ก็ยังอยู่ในสถานภาพที่ให้ใช้ได้แต่ยังต้องเก็บข้อมูลเพื่อหาความชัดเจนต่อไป แต่ในขณะที่ผงฟ้าทะลายโจรที่ใช้ปริมาณน้อยกว่าการใช้ในไข้หวัดธรรมดานั้น ย่อมเป็นข่าวดีว่า การใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรในปริมาณยาสำหรับใช้ในไข้หวัดธรรมดานั้น ย่อมมีโอกาสได้ผลทั้งในวิธีการกินและปริมาณการกิน ซึ่งมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะได้เคยใช้กับคนไทยมานานหลายสิบปีแล้ว
สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ต่างหากที่ยังไม่มีความแน่ชัดเพราะไม่ได้ผ่านขั้นตอนในการเทียบน้ำหนักจากสัตว์ทดลอง การใช้ในบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยังอยู่ในขั้นการเก็บข้อมูลเท่านั้น ว่าเป็นปริมาณที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุดจริงหรือไม่ และยังไม่ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบกับการใช้ผงฟ้าทะลายโจรว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มีการเปรียบเทียบกันในสัตว์ทดลองเลย
ทั้งบัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนดสำหรับโรคหวัดธรรมดาว่า ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นปริมาณยา “ต่ำที่สุด” ที่ 1.5 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 1.5x4 = 6 กรัมต่อวัน โดยให้กินติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน [3] จึงย่อมเป็นปริมาณที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน โดย 6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 5 วันเทียบเป็นแคปซูลในชนาดต่าง ๆ ดังนี้ คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 4 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 3 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 5 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
อย่างไรก็ตาม บัญชียาหลักแห่งชาติ ได้กำหนดการใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับโรคหวัดธรรมดา ในปริมาณยา “สูงที่สุด” ที่ 3 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 3x4 = 12 กรัมต่อวัน [3] โดยให้กินติดต่อกัน 5 วัน จึงย่อมเป็นปริมาณ “สูงสุด” ที่ยังปลอดภัย โดย 12 กรัมต่อวัน เทียบเป็นแคปซูลในขนาดต่าง ๆ ดังนี้คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 8 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 12 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 10 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน

อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินของไข้ในการแพทย์แผนไทยตามคัมภีร์ฉันทศาสตร์ กำหนดให้ช่วงเวลาในการ “กำเริบ”ของไข้มี 4 สถาน ตามลำดับดังนี้
ช่วงเวลา “กำเดา” กำเริบ 4 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “เสมหะ”กำเริบ 9 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “โลหิต” กำเริบ 7 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “ลม”กำเริบ 13 วัน ดังความปรากฏในพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ความว่า
“ลักษณะเพศทั้งหลาย กำเริบร้ายกำลังมี กำเดาสี่ราตรี เสมหะมีในเก้าวัน โลหิตกำลังให้ เจ็ดวันไซ้เป็นสำคัญ วาโยสิบสามวัน กำหนดนั้นเป็นประธาน” [4]
นั่นหมายถึงว่าช่วงการ “กำเริบ” ของกำเดา หรือ “เปลวแห่งความร้อน” หรือการมีความร้อนเกิดขึ้นทั้งภายใน (ครั่นเนื้อตัวแต่ไม่มีไข้) หรือมีไข้ที่วัดได้ จะต้องจัดการให้ได้ภายใน 4 วัน ถ้ามิฉะนั้นโรคก็จะดำเนินไปสู่ช่วงเวลาของ “เสมหะ” เป็นเวลาอีก 9 วัน ซึ่งในช่วงเวลานี้จะมีเสมหะได้ตั้งแต่ที่บริเวณคอ (ศอเสมหะ) และสามารถดำเนินโรคไปเป็นเสมหะไปที่ปอด (อุระเสมหะ) หรือที่คนในยุคนี้เรียกว่าปอดติดเชื้อ เชื้อลงปอด ซึ่งหากดำเนินโรครวมเวลาตั้งแต่วันแรกที่ป่วยเกิน 13 วันแล้วยังไม่หายหรือหยุดโรคไม่ได้ โรคก็จะดำเนินไปเข้าสู่กระแสเลือดอีก 7 วัน จากนั้นโรคก็จะดำเนินเข้าสู่การกำเริบของธาตุลมว่าด้วยเรื่องของการเคลื่อนไหวและการไหลเวียนทั้งระบบของร่างกายอีก 3 วัน
ดังนั้นจะเห็นว่า 4 วันแรกนั้นสำคัญอย่างยิ่ง จากเหตุผลดังกล่าวนี้เอง เจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ประพันธ์เอาไว้เป็นคำฉันท์ “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ซึ่งเป็นการอธิบายหรือประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ว่าด้วยตักกะศิลาอันเกี่ยวกับโรคระบาด จึงได้กำหนดว่าแม้ยังไม่รู้ว่าโรคระบาด (โรคห่า) นั้นคืออะไรแต่ “รสยาแรก” จะต้องเป็นยารสเย็นเป็นอย่างยิ่ง และรสขมจัดนำ เพื่อดับความร้อนทั้งปวงดังความว่า
“ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเป็นอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน” [5]
ฟ้าทะลายโจร เป็นยาเย็นเป็นอย่างยิ่ง และมีรสขมมาก จนมีชื่อเสียงว่าเป็นราชาแห่งความขม ดังนั้นการนำมาใช้กับโรคระบาดนั้น ย่อมหมายถึงอยู่ในสถานะ “รสยาแรก” ที่ขมและเย็นเพื่อลดไข้หรือกำเดากำเริบให้สำเร็จภายใน 4 วันแรก หากไม่ทันโรคจะดำเนินต่อไปเข้าสู่ช่วงเวลาเสมหะ ซึ่งจะกำเริบอีก 9 วัน ดังนั้นการรักษาจะนานขึ้นเป็นเวลา 13 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงในการกักตัวผู้ป่วยโรคนี้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ใช้เวลารักษาไม่เกิน 14 วันในปัจจุบัน
การใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเดี่ยว “รสยาแรก” จึงสำคัญอย่างยิ่งใน 4 วันแรก แต่เนื่องจากผู้ป่วยและเชื้อโรคแตกต่างกัน ทั้งมีเชื้อมากหรือเชื้อน้อย ชนิดเชื้อเหมือนกันหรือต่างกัน ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันตำ่หรือสูงแตกต่างกัน และฟ้าทะลายโจรนั้นมีคุณภาพแตกต่างกันอีก้วย ล้วนแล้วแต่เป็น “ตัวแปร” ที่ทำให้ความสำเร็จหรือล้มเหลวแตกต่างกัน
ดังนั้นหลายคนจึงไม่ควร “รอคิวตรวจเชื้อ” และ “รอผลตรวจเชื้อ” โดยไม่ทำอะไร ซึ่งอาจใช้เวลานานเกิน 4 วัน ดังนั้นเมื่อมีอาการครั่นเนื้อตัว ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ มีไข้ ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่พบผู้ป่วยติดเชื้อ ให้รีบใช้ “ผงหยาบฟ้าทะลายโจร” โดยทันทีในฐานะเป็น “รสยาแรก” ให้จบภายใน 4 วันแรกนั้น
โดยภายใน 1-2 วันแรกให้ใช้ “ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน หากผ่านไป “วันครึ่ง”ยังไม่ดีขึ้นหรือดีขึ้นน้อยมาก ให้รีบเพิ่ม 2 เท่าเป็น 12 กรัมต่อวันตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น
เป้าหมายคือเผด็จศึกโรคร้ายนี้ให้จบภายในไม่เกิน 4 วัน
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
............................................
อ้างอิง
[1] Murugan NA, Pandian CJ, Jeyakanthan J. Computational investigation on Andrographis paniculata phytochemicals to evaluate their potency against SARS-CoV-2 in compari- son to known antiviral compounds in drug trials. J Biomol Struct Dyn. 2020.
https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/07391102.2020.1777901
[2] นายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี, ประสบการณ์การนำยาสมุนไพรไทยไปใช้ในสถานการณ์การระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ในเรือนจำกรุงเทพมหานคร, ในการเสนาวิชาการหัวข้อ “ฟ้าทะลายโจร” สมุนไพรในวิกฤต COVID-19, 17 มิถุนายน 2564
[3] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2562, เล่ม 136 ตอนพิเศษ 95 ง, วันที่ 17 เมษายน 2562, หน้า 8, เอกสารแนบท้ายรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ , ภาคผนวก 4 บัญชียาจากสมุนไพร, ยากลุ่มที่ 2 ยาพัฒนาจากสมุนไพร 24 รายการ 2.2 ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ, (1) ยาฟ้าทะลายโจร หน้า 275
[4] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 45
[5] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 37
แม้ว่าวันนี้จะมีความเห่อโปรโมทสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “สารแอนโดรกราโฟไลด์” ว่ามีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์และโปรตีนหลายชนิดของเชื้อโรคร้ายนี้ และเป็นที่มาทำให้โรงงานหลายแห่งต้องผลิตสารสกัดฟ้าทะลายโจรโดยยึดมั่นที่ตัวสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็น “หลักเท่านั้น” ว่าต้องมีเท่าไหร่จึงจะสามารถรักษาเชื้อโรคร้ายนี้ได้
หลักฐานหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคืองานวิจัยร่วมของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสวีเดนและอินเดีย ซึ่งได้พบว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด”ในฟ้าทะลายโจรที่ทำงานร่วมกันในการยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวนี้ได้ถูกยอมรับโดยวารสารทางด้านชีวโมเลกุลและพลวัตรที่ชื่อว่า Journal of Biomolecular Structure and Dynamics เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ว่ามีสารสำคัญ “หลายชนิด” ที่ไม่ใช่แค่สารแอนโดรกราโฟไลด์เท่านั้นที่มีกลไกยับยั้งการทำงานของเชื้อโรคร้ายนี้เท่านั้น แต่มีสารสำคัญถึง 4 ชนิดที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
สารแอนโดรกราโฟไลด์ หรือ AGP 1, 14-deoxy 11,12-didehydro andrographolide หรือ AGP2 รวมทั้งสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 และสาร 14-deoxy andrographolide หรือสาร AGP4 ซึ่งได้ทำหน้าที่ร่วมกันในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 [1]
โดยเฉพาะสารนีโอแอนโดรกราโฟไลด์ (neoandrographolide) หรือสาร AGP3 หรือสาร AP3 ที่มีบางบริษัทสกัดทิ้งออกไปนั้น กลับมีส่วนสำคัญเข้าไปสู่เป้าหมาย 4 ตำแหน่งของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่เอนไซม์ 3 L main protease หรือ 3CLpro, Papain-like proteinase หรือ PLpro, RNA-directed RNA polymerase หรือ RdRp และโปรตีนของหนามโควิด (spike protein) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการยับยั้งเชื้อโควิด-19 [1]
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ในขณะที่บัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนด “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อลดความรุนแรงของโรคหลังติดเชื้อสำหรับผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการหรืออาการน้อย
แต่ในขณะที่เรือนจำกรุงเทพได้ใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 12 แคปซูลต่อวัน ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เพียง 132 มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น เมื่อกินผงหยาบฟ้าทะลายโจรไป 5 วัน ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยปราศจากเชื้อโรคร้ายนี้ในวันที่ 8 ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้เวลาถึง 12 วัน [2]
นั่นเป็นตัวอย่างที่อาจแสดงให้เห็นว่า “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรอาจมีอะไรที่มากกว่า “สารสกัด” แต่กลับให้ผลการรักษาที่ดีเช่นนี้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในเรือนจำกรุงเทพนั้น การใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจร 12 แคปซูลต่อวันนั้น เทียบน้ำหนักเท่ากับผงหยาบฟ้าทะลายโจรเพียงแค่ 4.8 กรัมต่อวัน ซึ่ง “น้อยกว่า” มาตรฐาน “ต่ำสุด”ของการให้ผงฟ้าทะลายโจรที่เป็นไข้หวัดธรรมดาที่ 6 กรัมต่อวันเสียด้วยซ้ำ
และในขณะที่ผงฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ในบัญชียาหลักแห่งชาตินั้น ก็ยังอยู่ในสถานภาพที่ให้ใช้ได้แต่ยังต้องเก็บข้อมูลเพื่อหาความชัดเจนต่อไป แต่ในขณะที่ผงฟ้าทะลายโจรที่ใช้ปริมาณน้อยกว่าการใช้ในไข้หวัดธรรมดานั้น ย่อมเป็นข่าวดีว่า การใช้ “ผงหยาบ”ฟ้าทะลายโจรในปริมาณยาสำหรับใช้ในไข้หวัดธรรมดานั้น ย่อมมีโอกาสได้ผลทั้งในวิธีการกินและปริมาณการกิน ซึ่งมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน เพราะได้เคยใช้กับคนไทยมานานหลายสิบปีแล้ว
สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ต่างหากที่ยังไม่มีความแน่ชัดเพราะไม่ได้ผ่านขั้นตอนในการเทียบน้ำหนักจากสัตว์ทดลอง การใช้ในบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยังอยู่ในขั้นการเก็บข้อมูลเท่านั้น ว่าเป็นปริมาณที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุดจริงหรือไม่ และยังไม่ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบกับการใช้ผงฟ้าทะลายโจรว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มีการเปรียบเทียบกันในสัตว์ทดลองเลย
ทั้งบัญชียาหลักแห่งชาติได้กำหนดสำหรับโรคหวัดธรรมดาว่า ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นปริมาณยา “ต่ำที่สุด” ที่ 1.5 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 1.5x4 = 6 กรัมต่อวัน โดยให้กินติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน [3] จึงย่อมเป็นปริมาณที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน โดย 6 กรัมต่อวันเป็นเวลา 5 วันเทียบเป็นแคปซูลในชนาดต่าง ๆ ดังนี้ คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 4 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 3 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 5 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
อย่างไรก็ตาม บัญชียาหลักแห่งชาติ ได้กำหนดการใช้ฟ้าทะลายโจรสำหรับโรคหวัดธรรมดา ในปริมาณยา “สูงที่สุด” ที่ 3 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ดังนั้น 3x4 = 12 กรัมต่อวัน [3] โดยให้กินติดต่อกัน 5 วัน จึงย่อมเป็นปริมาณ “สูงสุด” ที่ยังปลอดภัย โดย 12 กรัมต่อวัน เทียบเป็นแคปซูลในขนาดต่าง ๆ ดังนี้คือ
ถ้าแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 8 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 6 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 250 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 12 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
ถ้าแคปซูลขนาด 350 มิลลิกรัม ให้ใช้ฟ้าทะลายโจร 10 เม็ดต่อครั้งและ 4 ครั้งต่อวันติดต่อกัน 5 วัน
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินของไข้ในการแพทย์แผนไทยตามคัมภีร์ฉันทศาสตร์ กำหนดให้ช่วงเวลาในการ “กำเริบ”ของไข้มี 4 สถาน ตามลำดับดังนี้
ช่วงเวลา “กำเดา” กำเริบ 4 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “เสมหะ”กำเริบ 9 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “โลหิต” กำเริบ 7 วัน, หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลา “ลม”กำเริบ 13 วัน ดังความปรากฏในพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ความว่า
“ลักษณะเพศทั้งหลาย กำเริบร้ายกำลังมี กำเดาสี่ราตรี เสมหะมีในเก้าวัน โลหิตกำลังให้ เจ็ดวันไซ้เป็นสำคัญ วาโยสิบสามวัน กำหนดนั้นเป็นประธาน” [4]
นั่นหมายถึงว่าช่วงการ “กำเริบ” ของกำเดา หรือ “เปลวแห่งความร้อน” หรือการมีความร้อนเกิดขึ้นทั้งภายใน (ครั่นเนื้อตัวแต่ไม่มีไข้) หรือมีไข้ที่วัดได้ จะต้องจัดการให้ได้ภายใน 4 วัน ถ้ามิฉะนั้นโรคก็จะดำเนินไปสู่ช่วงเวลาของ “เสมหะ” เป็นเวลาอีก 9 วัน ซึ่งในช่วงเวลานี้จะมีเสมหะได้ตั้งแต่ที่บริเวณคอ (ศอเสมหะ) และสามารถดำเนินโรคไปเป็นเสมหะไปที่ปอด (อุระเสมหะ) หรือที่คนในยุคนี้เรียกว่าปอดติดเชื้อ เชื้อลงปอด ซึ่งหากดำเนินโรครวมเวลาตั้งแต่วันแรกที่ป่วยเกิน 13 วันแล้วยังไม่หายหรือหยุดโรคไม่ได้ โรคก็จะดำเนินไปเข้าสู่กระแสเลือดอีก 7 วัน จากนั้นโรคก็จะดำเนินเข้าสู่การกำเริบของธาตุลมว่าด้วยเรื่องของการเคลื่อนไหวและการไหลเวียนทั้งระบบของร่างกายอีก 3 วัน
ดังนั้นจะเห็นว่า 4 วันแรกนั้นสำคัญอย่างยิ่ง จากเหตุผลดังกล่าวนี้เอง เจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้ประพันธ์เอาไว้เป็นคำฉันท์ “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ซึ่งเป็นการอธิบายหรือประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ว่าด้วยตักกะศิลาอันเกี่ยวกับโรคระบาด จึงได้กำหนดว่าแม้ยังไม่รู้ว่าโรคระบาด (โรคห่า) นั้นคืออะไรแต่ “รสยาแรก” จะต้องเป็นยารสเย็นเป็นอย่างยิ่ง และรสขมจัดนำ เพื่อดับความร้อนทั้งปวงดังความว่า
“ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเป็นอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน” [5]
ฟ้าทะลายโจร เป็นยาเย็นเป็นอย่างยิ่ง และมีรสขมมาก จนมีชื่อเสียงว่าเป็นราชาแห่งความขม ดังนั้นการนำมาใช้กับโรคระบาดนั้น ย่อมหมายถึงอยู่ในสถานะ “รสยาแรก” ที่ขมและเย็นเพื่อลดไข้หรือกำเดากำเริบให้สำเร็จภายใน 4 วันแรก หากไม่ทันโรคจะดำเนินต่อไปเข้าสู่ช่วงเวลาเสมหะ ซึ่งจะกำเริบอีก 9 วัน ดังนั้นการรักษาจะนานขึ้นเป็นเวลา 13 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงในการกักตัวผู้ป่วยโรคนี้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ใช้เวลารักษาไม่เกิน 14 วันในปัจจุบัน
การใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเดี่ยว “รสยาแรก” จึงสำคัญอย่างยิ่งใน 4 วันแรก แต่เนื่องจากผู้ป่วยและเชื้อโรคแตกต่างกัน ทั้งมีเชื้อมากหรือเชื้อน้อย ชนิดเชื้อเหมือนกันหรือต่างกัน ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันตำ่หรือสูงแตกต่างกัน และฟ้าทะลายโจรนั้นมีคุณภาพแตกต่างกันอีก้วย ล้วนแล้วแต่เป็น “ตัวแปร” ที่ทำให้ความสำเร็จหรือล้มเหลวแตกต่างกัน
ดังนั้นหลายคนจึงไม่ควร “รอคิวตรวจเชื้อ” และ “รอผลตรวจเชื้อ” โดยไม่ทำอะไร ซึ่งอาจใช้เวลานานเกิน 4 วัน ดังนั้นเมื่อมีอาการครั่นเนื้อตัว ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ มีไข้ ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่พบผู้ป่วยติดเชื้อ ให้รีบใช้ “ผงหยาบฟ้าทะลายโจร” โดยทันทีในฐานะเป็น “รสยาแรก” ให้จบภายใน 4 วันแรกนั้น
โดยภายใน 1-2 วันแรกให้ใช้ “ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวัน หากผ่านไป “วันครึ่ง”ยังไม่ดีขึ้นหรือดีขึ้นน้อยมาก ให้รีบเพิ่ม 2 เท่าเป็น 12 กรัมต่อวันตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น
เป้าหมายคือเผด็จศึกโรคร้ายนี้ให้จบภายในไม่เกิน 4 วัน
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
............................................
อ้างอิง
[1] Murugan NA, Pandian CJ, Jeyakanthan J. Computational investigation on Andrographis paniculata phytochemicals to evaluate their potency against SARS-CoV-2 in compari- son to known antiviral compounds in drug trials. J Biomol Struct Dyn. 2020.
https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/07391102.2020.1777901
[2] นายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี, ประสบการณ์การนำยาสมุนไพรไทยไปใช้ในสถานการณ์การระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ในเรือนจำกรุงเทพมหานคร, ในการเสนาวิชาการหัวข้อ “ฟ้าทะลายโจร” สมุนไพรในวิกฤต COVID-19, 17 มิถุนายน 2564
[3] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่องบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2562, เล่ม 136 ตอนพิเศษ 95 ง, วันที่ 17 เมษายน 2562, หน้า 8, เอกสารแนบท้ายรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ , ภาคผนวก 4 บัญชียาจากสมุนไพร, ยากลุ่มที่ 2 ยาพัฒนาจากสมุนไพร 24 รายการ 2.2 ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ, (1) ยาฟ้าทะลายโจร หน้า 275
[4] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 45
[5] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 37


