xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ป่วยโควิด...ใครบ้างที่จะทำ 'Home Isolation' หรือ 'กักตัวที่บ้าน' ได้?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงนี้หลายคนคงได้ยินคำว่า 'Home Isolation' หรือ 'กักตัวที่บ้าน' กันอยู่บ่อย ๆ แล้ว 'Home Isolation' คืออะไร? ใครบ้างที่ควรทำตามมาตรการ 'Home Isolation' ?

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้จัดทำ แนวทางปฏิบัติสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ในการให้คำแนะนำผู้ป่วยและการจัดบริการผู้ป่วยโควิด - 19 แบบ HOME ISOLATION ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 กรณีระหว่างรอเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือระหว่างรอครบกำหนด 14 วัน หรือหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาลหรือสถานที่รัฐจัดให้ก่อนกำหนด และนำขึ้นเผยแพร่ไว้บนเว็บไซต์กรมการแพทย์ (https://covid19.dms.go.th/)

โดยคำนิยาม ‘Home Isolation’ หรือ ‘การกักตัวที่บ้าน’ เป็นแนวทางสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่


1. ระหว่างรอ admit โรงพยาบาล และแพทย์เห็นว่าสามารถดูแลรักษาที่บ้านระหว่างรอเตียงได้

2. หลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานที่รัฐจัดให้แล้วอย่างน้อย 10 วันและจำหน่ายกลับบ้านเพื่อรักษาต่อเนื่องที่บ้านโดยวิธี home isolation

ผู้ที่เข้าเกณฑ์การทำ 'Home Isolation' มีดังนี้

1.เป็นผู้ติดเชื้อที่สบายดี หรือไม่มีอาการ


2.มีอายุน้อยกว่า 60 ปี


3.มีร่างกายสุขภาพแข็งแรง


4.อยู่คนเดียว หรือมีผู้อยู่รวมไม่เกิน 1 คน


5.ต้องไม่มีภาวะอ้วน (ภาวะอ้วนหมายถึงดัชนีมวลกาย > 30 กก./ม.2 หรือน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม)


6.ไม่มีโรคร่วมดังต่อไปนี้

-โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
-โรคไตเรื้อรัง
-โรคหัวใจและหลอดเลือด
-โรคหลอดเลือดสมอง
-เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
-หรือโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์


7.ยินยอมกักตัวในที่พักของตนเอง


***หากไม่เข้าเกณฑ์แต่แพทย์อนุญาตก็สามารถร่วมได้***

ลักษณะของบ้านพักอาศัยที่เหมาะสมในการทำ 'Home Isolation'


บ้านหรือที่พักอาศัยของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในช่วงที่ต้องแยกตัว ควรจะต้องมีลักษณะ ดังนี้

- ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ต้องอาศัยในสถานที่พักอาศัยตลอดระยะเวลากักตัว ไม่ให้ออกจากที่พัก

- มีห้องนอนส่วนตัว ถ้าไม่มี ควรมีพื้นที่กว้างพอที่จะนอนห่างจากผู้อื่นกรณีมีผู้อยู่ร่วมบ้าน และต้องเปิดประตู หน้าต่างให้ระบายอากาศได้ดี

- มีผู้จัดหาอาหารและของใช้จำเป็นให้ได้ ไม่ต้องออกไปจัดหานอกบ้านด้วยตนเอง

- ผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องสุขอนามัย และการแยกจากผู้ป่วยได้

- สามารถติดต่อกับโรงพยาบาลและเดินทางมาโรงพยาบาลได้สะดวก

ถ้าบ้านหรือที่พักไม่เหมาะสม อาจต้องหาสถานที่แห่งอื่นในการแยกตัว

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เมื่อทำ ‘Home Isolation' มีดังนี้

1. ไม่ให้บุคคลอื่นมาเยี่ยมที่บ้านระหว่างแยกตัวและงดการออกจากบ้านในระหว่างแยกตัว


2. อยู่ในห้องส่วนตัวตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลอื่นในที่พักอาศัย
โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ หากยังมีอาการไอจาม ต้องสวมหน้ากากอนามัยแม้ขณะที่อยู่ในห้องส่วนตัว โดยแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย ไม่ให้ใช้หน้ากากผ้า

3. หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นต้องสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างอย่างน้อย 1 เมตร หรือประมาณหนึ่งช่วงแขน
หากไอจามไม่ควรเข้าใกล้ผู้อื่นหรืออยู่ห่างอย่างน้อย 2 เมตร และให้หันหน้าไปยังทิศทางตรงข้ามกับตำแหน่งที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย

4. หากไอจามขณะที่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ต้องเอามือมาปิดปากและไม่ต้องถอดหน้ากากอนามัยออก
เนื่องจากมืออาจเปรอะเปื้อน หากไอจามขณะที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยให้ใช้ต้นแขนด้านในปิดปาก และจมูก

5. ถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ
(หากมือเปรอะเปื้อนให้ล้างด้วยสบู่และน้ำ) โดยเฉพาะภายหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ขณะไอ จาม หรือหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ และก่อนสัมผัสจุดเสี่ยงที่มีผู้อื่นในบ้านใช้ร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได มือจับตู้เย็น ฯลฯ

6. กรณีที่เป็นมารดาให้นมบุตร ยังสามารถให้นมบุตรได้ เนื่องจากยังไม่มีรายงานพบเชื้อโควิด-19 ในน้ำนม
แต่มารดาควรสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออย่างเคร่งครัดทุกครั้งก่อนสัมผัสหรือให้นมบุตร

7. ใช้ห้องน้ำแยกจากผู้อื่น หากจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน ให้ใช้เป็นคนสุดท้าย ให้ปิดฝาชักโครกก่อนกดน้ำ


8. การทำความสะอาดห้องน้ำและพื้นผิว ควรทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์หรือพื้นที่ที่อาจปนเปื้อนเสมหะน้ำมูก อุจจาระ ปัสสาวะหรือสารคัดหลั่ง
ด้วยน้ำและน้ำยาฟอกผ้าขาว 5%โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (เช่น ไฮเตอร์, คลอรอกซ์) โดยใช้ 5% โซเดียมโซเดียมไฮโปคลอไรท์น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 99 ส่วน หรือ0.5% (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วน ต่อน้ำ 9 ส่วน)

9. แยกสิ่งของส่วนตัวไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์


10. ไม่ร่วมรับประทานอาหารกับผู้อื่น ควรให้ผู้อื่นจัดหาอาหารมาให้ แล้วแยกรับประทานคนเดียว
ถ้าเป็นอาหารที่สั่งมา และต้องเป็นผู้รับอาหารนั้น ควรให้ผู้ส่งอาหารวางอาหารไว้ ณ จุดที่สะดวก แล้วไปนำอาหารเข้าบ้าน ไม่รับอาหารโดยตรงจากผู้ส่งอาหาร

11. ซักเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ฯลฯ ด้วยน้ำ และสบู่หรือผงซักฟอกตามปกติ
หากใช้เครื่องซักผ้า ให้ใช้ผงซักฟอก และ น้ำยาปรับผ้านุ่มได้

12.การทิ้งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วและขยะที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งให้ใส่ถุงพลาสติก และปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งขยะที่ฝาปิดมิดชิด และทำความสะอาดมือ ด้วยแอลกอฮอล์ หรือ น้ำ และสบู่ ทันที

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยในการสังเกตอาการตนเอง


- ให้สังเกตอาการตนเอง วัดอุณหภูมิและ oxygen saturation ทุกวัน

- หากมีอาการแย่ลง คือ มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ เช่น หอบ เหนื่อย ไข้สูงลอย ไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ ให้รีบโทรติดต่อโรงพยาบาลที่ท่านรักษาอยู่

- เมื่อจะต้องเดินทางไปโรงพยาบาลให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวหรือรถที่โรงพยาบาลมารับ ไม่ใช้รถสาธารณะ ให้ทุกคนในรถใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่เดินทาง หากมีผู้ร่วมยานพาหนะมาด้วย ให้เปิดหน้าต่างรถเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ


นอกจากนี้แล้ว เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2564 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ขยายเป็นวงกว้างและจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการแยกกักตัว ระหว่างรอเตียงในสถานที่ที่รัฐจัดให้ และเพื่อควบคุมป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation)

ทั้งนี้ มีคำแนะนำสำหรับครอบครัวเพื่อเตรียมความพร้อม กรณีมีผู้ต้องแยกกักตัวอยู่ที่บ้าน ดังนี้


1.แยกส่วนหรือพื้นที่เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร

2.หากมีพื้นที่จำกัด ให้ทำฉากกั้นระหว่างผู้ต้องถูกแยกกักตัวและคนอื่นๆ ในครอบครัว


3.จัดห้องพักให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงแดดเข้าถึง


4.แยกของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จานชาม เป็นต้น


5.ควรแยกการทำความสะอาดเสื้อผ้ากรณีซักมือ


6.การใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม กรณีที่ไม่สามารถแยกห้องได้ ให้ผู้อื่นใช้ห้องน้ำก่อน ส่วนผู้แยกกักตัวให้ใช้เป็นคนสุดท้าย พร้อมทำความสะอาด
ด้วยผ้าชุบน้ำยาฟอกขาวความเข้มข้น 0.1% หรือแอลกอฮอล์ 70% หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5%

7.เตรียมถังขยะมีฝาปิดมิดชิด และของใช้ส่วนตัว ไว้สำหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะ ทั้งในบริเวณที่นอนและห้องน้ำ


8.หากมีห้องนอนห้องเดียว แต่ต้องนอนร่วมกับคนในบ้าน ต้องเปิดประตูหน้าต่างให้โล่งโปร่งที่สุด
พยายามอยู่ห่างจากคนในครอบครัวให้มากที่สุด และวัดไข้ทุกวัน หากพบมีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ร่วมกับมีอาการทางเดินหายใจ ตาแดง ผื่นแดง ถ่ายเหลว หรือหากตรวจวัดค่าออกซิเจนในเลือดแล้วพบว่ามีค่าต่ำกว่า 95% ให้ไปพบแพทย์ทันที

อีกทั้งทางกรุงเทพมหานครก็ได้กำหนดแนวทางดูแลแยกกัก รักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับประชาชนที่มีความพร้อม โดยผู้ป่วยที่จะทำการแยกกัก รักษาตัวที่บ้าน ให้โทรแจ้งสายด่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1330 กด 14 หรือแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปสอบสวนโรค หรือประเมินอาการเบื้องต้น

ทั้งนี้ ผู้ป่วยต้องมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (ตามที่แจ้งไปข้างต้น) โดยในขณะที่แยกกักตัว จะมีอาหารไปส่งให้ 3 มื้อ ทุกวัน เจ้าหน้าที่จะนำอุปกรณ์ติดตามอาการ เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องวัดออกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร ยาฟาวิพิราเวียร์ (ตามดุลยพินิจของแพทย์) ไปส่งให้ ณ ที่พัก มีแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ผ่านทางวีดีโอคอล หรือโทรศัพท์ วันละ 2 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน จนครบระยะเวลา 14 วัน 

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมากขึ้น (เปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีแดง) ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตามช่องทางที่กำหนด หรือโทร 1330 เพื่อให้ทีมแพทย์ประเมินแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

นอกจากผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นเคสสีเขียวจะสามารถแยกกักรักษาตัวแบบ Home Isolation ได้แล้ว ผู้ป่วยที่เข้าพัก ณ โรงพยาลสนาม Hospitel และโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษามาแล้ว 7-10 วัน สามารถกลับบ้าน แล้วแยกกักรักษาตัวตามแนวทางของ Home Isolation ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (https://bit.ly/3kCS3C3)

กรมอนามัย (https://bit.ly/2UNdG7C)

สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร (https://bit.ly/2VNIiqa)

เพจ : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข



กำลังโหลดความคิดเห็น