ถ้ามีคนถามถึง “จุดมุ่งหมาย” ของชีวิต และ “เป้าหมาย” ด้านต่าง ๆ คุณจะบอกว่าอย่างไรครับ?
คุณอาจจะมีคำตอบที่มั่นคงและชัดเจน เพราะมีความมุ่งมั่นใช้ชีวิตและทำการงานเพื่อให้สำเร็จตามที่วางแผนไว้
แต่น่าเสียดายที่หลายคนไม่ได้คิดและขาดการวางแผนชีวิตอย่างไม่มี “เป้าหมาย (Goal)” และไม่ได้คำนึงถึง “จุดมุ่งหมาย (Purpose)” คนแบบนี้ก็อยู่ไปวันๆ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามสภาพอย่างขาดแรงบันดาลใจ
จึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ถ้าถามถึง “ความสุข” กับ “ความสำเร็จ” ว่าจะเลือกอะไรเป็นจุดมุ่งหมายอย่างมีเหตุผล
ขณะที่ “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ก็เป็น 2 คำท้าทายที่มาคู่กัน ซึ่งผมอยากชวนให้ลองพิจารณาเตรียมมีแผนที่จะได้รับผลดีจากโอกาสและป้องกันผลเสียจากความเสี่ยง
เพราะทุกวันนี้ เรากำลังอยู่ในยุคดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมการผลิตและบริการ รวมทั้งระบบการรับรู้และส่งข่าวสารในสังคมได้สะดวก รวดเร็ว จนมีผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค จึงเป็นยุคที่สังคมโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มาเป็นตัวเร่งและบีบคั้นให้ต้องปรับเปลี่ยนกฎกติกา จนหลายวิถีปฏิบัติกลายเป็นสภาวะ “ปกติใหม่” (New Normal)
ภาพรวมของการแพร่ระบาดไปทั่วโลก 215 ประเทศก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤต อย่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายนก็ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละเกือบ 3 แสนคน
ทำให้คาดยากว่า สงครามชีวภาพครั้งนี้จะยืดเยื้อนานแค่ไหน และจะจบลงในสภาพใด แต่ผลกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรม การลงทุน การจ้างงานและการใช้ชีวิตของผู้คนส่วนมากก็เดือดร้อนไปทั่วโลก
นี่ยิ่งเป็นการซ้ำเติมสภาวะปัจจุบันที่มีลักษณะหลายมิติที่เรียกว่า “VUCA World” ซึ่งย่อมาจาก 4 คำ คือ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity)
แนวการบริหารจัดการยุคใหม่ จึงเน้นที่ความยืดหยุ่น คล่องตัวและรวดเร็ว มุ่งที่ผลลัพธ์ (Outcome-based) และสร้างผลกระทบหรือการเปลี่ยนแปลง (Impact)
หลายองค์กรหันมาปรับกระบวนการทำงานแบบ Agile ที่คล่องตัว ว่องไว มุ่งให้เกิดความสัมพันธ์และได้งานสร้างความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญมากกว่าการยึดติดสัญญาหรือเอกสารแบบตายตัว ขณะที่กิจการชั้นนำพากันใช้หลัก OKRs (Objective and Key Results) ที่ตั้งเป้าหมายชัดและวัดผลลัพธ์สำคัญได้
แต่เครื่องมือเหล่านี้ จะใช้ได้ผลดีย่อมขึ้นกับการลงมือทำจริงจังและต่อเนื่อง โดยหัวใจสำคัญต้องเริ่มที่ผู้นำและผู้บริหารมี Mindset หรือกรอบแนวคิดไปทางนี้หรือไม่
ผมขออ้างอิงถึงหนังสือเด่นที่ชื่อ “Growth Mindset : พัฒนาตัวเองให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด” ผลงานการเขียนเล่มใหม่ของ ณรงค์วิทย์ แสนทอง ที่ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ ด้วยลีลาการบอกเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจผ่านประสบการณ์ชีวิต ที่พิสูจน์ได้ว่า “แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้”
แสดงถึง “วิธีคิด” ที่สร้างคุณค่าจากความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การพัฒนาคนและองค์กรที่แตกต่างอย่างโดดเด่น คือ เป็นทั้งวิทยากร ที่ปรึกษาและนักเขียนแบบ 3in1 ในตัว
ยุคนี้จึงมักพูดถึงคำว่า Mindset ซึ่งหมายถึง “กรอบแนวคิด” ของคนเรา ก็จะเป็นตัวกำหนดแนวทางและรูปแบบการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และนำไปสู่ผลในอนาคตได้
เจ้ากรอบแนวคิดที่ว่านี้ เกิดจากการถูกปลูกฝัง สั่งสมด้วยความเชื่อ ทัศนคติและวิธีคิดของคนคนนั้น
กรอบแนวคิด (Mindset) ของใครเป็นแบบใด ก็จะส่งผลให้วิถีการใช้ชีวิตและการแสดงออกทางพฤติกรรมเป็นแนวนั้น ซึ่งมีตัวอย่างมากมายให้รับรู้กัน
ครอบครัวที่มีความเชื่อว่าการศึกษาคือเครื่องมือนำพาสู่ความสำเร็จก้าวหน้าในชีวิต พ่อแม่ก็จะทุ่มเททุกทางเพื่อหาเงินส่งลูกให้เรียนสูง ๆ
ส่วนคนที่เชื่อว่า การถูกหวยเป็นความหวังเดียวที่จะหนีความจน ด้วยการรวยทางลัด คนแบบนี้ก็ย่อมจะมีพฤติกรรมใช้เงินเพื่อเสี่ยงโชคเป็นประจำทุกงวดไม่เลิกรา
แต่คนที่เชื่อว่าโอกาสถูกหวย มีความเป็นไปได้น้อยมาก ๆ เขาย่อมจะไม่ยอมใช้เงินกับความเสี่ยงแบบนั้น
โดยเฉพาะปัญหาสังคมไทยในวงการต่าง ๆ ที่มีพฤติกรรมการทุจริต ก็เพราะมี Mindsetที่อยากรวยเร็ว จึงหาทางทำการทุจริตฉ้อฉล เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรู้และกฎระเบียบตามไม่ทัน หารู้ไม่ว่ามี “กฎแห่งกรรม” ที่เที่ยงธรรมซึ่งต้องชดใช้กรรมแน่สักวัน
อาจารย์ณรงค์วิทย์ยืนยันว่า เรื่องกรอบแนวคิด (Mindset) เป็นเรื่องเฉพาะตัว ขนาดบางคนเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ก็ยังมีแนวคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตแตกต่างกันไป
“สภาพแวดล้อมอาจจะมีผลบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับความเชื่อ ทัศนคติและวิธีคิดของตัวเขาเอง”

เรามารู้จักกับเรื่อง Mindset ให้ลึกลงไปตามที่ Dr. Carol S. Dweck อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้สรุปผลการวิจัยว่าคนมีกรอบแนวคิดอยู่ 2 แบบคือ
1.กรอบแนวคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset)
แนวคิดนี้เชื่อว่าความเก่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด (แบบมีพรสวรรค์) จะพัฒนาให้เก่งไม่ได้ คนมีแนวคิดแบบนี้ชอบยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง
2.กรอบแนวคิดแบบก้าวหน้า (Growth Mindset)
เชื่อว่าความเก่งพัฒนาได้ มีพฤติกรรมชอบเรียนรู้ใหม่ๆ ไม่กลัวความเหนื่อยยาก ชอบทำสิ่งท้าทาย สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี
สรุปแล้วเรากำลังอยู่ในสังคมโลกยุคดิจิทัลที่ไม่เหมือนเดิม เพราะระบบข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย รับ-ส่งข่าวสารกันได้สะดวก รวดเร็วและกว้างไกล
การดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงานของคนเราทุกคน ทุกระดับ เพื่อให้ก้าวทันโลกด้วยความสุขและสำเร็จอย่างมีความสุข จึงควรเริ่มที่ตัวเราในการปรับแนวคิดให้เป็นระบบแบบ Growth Mindset
•ปรับความเชื่อ เปลี่ยนความคิด มุ่งสู่แนวใฝ่ดี ใฝ่พัฒนา ต้องเชื่อว่าคนอื่นทำดีได้ เราก็ต้องทำได้
•เลิกหาข้ออ้าง เปลี่ยนมาสร้างข้อเอื้อ เพื่อก้าวข้ามปัญหาหรืออุปสรรค
•อย่าคิดว่าการแก้ปัญหา ต้องมีแพ้หรือชนะ แต่เราได้ “เรียนรู้” และเปลี่ยน “ปัญหา” เป็นหนทางสร้าง “ปัญญา”
•เชื่อมั่นในศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา
.................................................................
ข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ Growth Mindset พัฒนาตัวเองให้สำเร็จ แบบก้าวกระโดด
ผู้เขียน: ณรงค์วิทย์ แสนทอง
Line ID : narongwit

แนะนำหนังสือ

เป็นผู้นำไม่ต้องซ้ำแบบใคร
ผู้เขียน : บิล จอร์จ
ผู้แปล : นุชนาฎ เนตรประเสริฐศรี
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ ฮาว ทู
ราคา 295 บาท
หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เราทราบถึงประวัติของซีอีโอในองค์กรต่าง ๆ ในแง่ของภูมิหลัง จวบจนการใช้ชีวิตและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้เจอจนหล่อหลอมให้พวกเขามีแนวคิดที่น่าสนใจ จนสามารถหาเป้าหมายในชีวิตเจอ และประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้านในที่สุด

Data-Driven Marketing การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้า
ผู้เขียน: ณัฐพล ม่วงทำ
สำนักพิมพ์: อมรินทร์ ฮาว ทู
ราคา 345 บาท
ยุคที่ใคร ๆ
ก็เต็มไปด้วยดาต้า แต่จะมีใครบ้างที่เข้าถึงดาต้าจริง ๆ
หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดมุมมองในการทำงานกับ“Data” ในแบบที่ทำได้จริง
และเข้าถึงได้ ซึ่งเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว
เชื่อได้ว่าจะสามารถเข้าถึงดาต้าได้ และปฏิบัติติได้เลย

กฎแห่งทางลัด 40 กูรูโลก
ผู้เขียน : ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล
สำนักพิมพ์ : บ้านพระอาทิตย์
ราคา 250 บาท
เนื้อหากระตุ้นวิธีคิดให้ก้าวหน้า ใช้ชีวิตและทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีเป้าหมาย มีกลยุทธ์ และมีแผนเลือกทำสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผลคุ้มค่า ตอบโจทย์การงานสำเร็จ การเงินมั่งคั่ง สุขภาพดี อย่างมีความสุข

ไดโกะ อัจฉริยะเรียนเก่งแห่งญี่ปุ่น
ผู้เขียน : เมนทาลิสท์ ไดโกะ
ผู้แปล : ทินภาส พาหะนิชย์
สำนักพิมพ์ : เชนจ์พลัส
ราคา 220 บาท
สำหรับใครก็ตาม ที่อยากจะเรียนเก่ง หรือ เพิ่มทักษะในการเรียนให้ดียิ่งขึ้น เล่มนี้จะบอกถึงเทคนิคการเรียนเก่งอย่างอัจฉริยะ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ไดโกะได้ศึกษาและลงมือทำ จนสัมฤทธิ์ผลกับตนเองได้จริง ๆ

ปวดหัว เวียนหัว หูอื้อ หายได้แค่เข้าใจสมอง
ผู้เขียน : ไล่ เหริน จง
ผู้แปล : อังค์วรา กุลวรรณวิจิตร
สำนักพิมพ์ : นานมีบุคส์
ราคา 195 บาท
คนในปัจจุบันมักมีปัญหาอาการปวดหัวต่าง ๆ แต่ก็ยังเข้าใจผิดอีกมากสำหรับเรื่องเหล่านี้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ จะมาพูดถึงความเข้าใจของโรคต่าง ๆ ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น และมีวิธีแก้ไขปัญหาที่เชื่อว่าอ่านเล่มนี้จบแล้ว จะเข้าใจโรคต่าง ๆ ได้มากขึ้นเลยก็ว่าได้
คุณอาจจะมีคำตอบที่มั่นคงและชัดเจน เพราะมีความมุ่งมั่นใช้ชีวิตและทำการงานเพื่อให้สำเร็จตามที่วางแผนไว้
แต่น่าเสียดายที่หลายคนไม่ได้คิดและขาดการวางแผนชีวิตอย่างไม่มี “เป้าหมาย (Goal)” และไม่ได้คำนึงถึง “จุดมุ่งหมาย (Purpose)” คนแบบนี้ก็อยู่ไปวันๆ หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามสภาพอย่างขาดแรงบันดาลใจ
จึงเป็นเรื่องไม่ง่าย ถ้าถามถึง “ความสุข” กับ “ความสำเร็จ” ว่าจะเลือกอะไรเป็นจุดมุ่งหมายอย่างมีเหตุผล
ขณะที่ “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” ก็เป็น 2 คำท้าทายที่มาคู่กัน ซึ่งผมอยากชวนให้ลองพิจารณาเตรียมมีแผนที่จะได้รับผลดีจากโอกาสและป้องกันผลเสียจากความเสี่ยง
เพราะทุกวันนี้ เรากำลังอยู่ในยุคดิจิทัล ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่เอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมการผลิตและบริการ รวมทั้งระบบการรับรู้และส่งข่าวสารในสังคมได้สะดวก รวดเร็ว จนมีผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค จึงเป็นยุคที่สังคมโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่เมื่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มาเป็นตัวเร่งและบีบคั้นให้ต้องปรับเปลี่ยนกฎกติกา จนหลายวิถีปฏิบัติกลายเป็นสภาวะ “ปกติใหม่” (New Normal)
ภาพรวมของการแพร่ระบาดไปทั่วโลก 215 ประเทศก็ยังอยู่ในขั้นวิกฤต อย่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายนก็ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละเกือบ 3 แสนคน
ทำให้คาดยากว่า สงครามชีวภาพครั้งนี้จะยืดเยื้อนานแค่ไหน และจะจบลงในสภาพใด แต่ผลกระทบต่อธุรกิจอุตสาหกรรม การลงทุน การจ้างงานและการใช้ชีวิตของผู้คนส่วนมากก็เดือดร้อนไปทั่วโลก
นี่ยิ่งเป็นการซ้ำเติมสภาวะปัจจุบันที่มีลักษณะหลายมิติที่เรียกว่า “VUCA World” ซึ่งย่อมาจาก 4 คำ คือ ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity)
แนวการบริหารจัดการยุคใหม่ จึงเน้นที่ความยืดหยุ่น คล่องตัวและรวดเร็ว มุ่งที่ผลลัพธ์ (Outcome-based) และสร้างผลกระทบหรือการเปลี่ยนแปลง (Impact)
หลายองค์กรหันมาปรับกระบวนการทำงานแบบ Agile ที่คล่องตัว ว่องไว มุ่งให้เกิดความสัมพันธ์และได้งานสร้างความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญมากกว่าการยึดติดสัญญาหรือเอกสารแบบตายตัว ขณะที่กิจการชั้นนำพากันใช้หลัก OKRs (Objective and Key Results) ที่ตั้งเป้าหมายชัดและวัดผลลัพธ์สำคัญได้
แต่เครื่องมือเหล่านี้ จะใช้ได้ผลดีย่อมขึ้นกับการลงมือทำจริงจังและต่อเนื่อง โดยหัวใจสำคัญต้องเริ่มที่ผู้นำและผู้บริหารมี Mindset หรือกรอบแนวคิดไปทางนี้หรือไม่
ผมขออ้างอิงถึงหนังสือเด่นที่ชื่อ “Growth Mindset : พัฒนาตัวเองให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด” ผลงานการเขียนเล่มใหม่ของ ณรงค์วิทย์ แสนทอง ที่ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเรื่องนี้ ด้วยลีลาการบอกเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจผ่านประสบการณ์ชีวิต ที่พิสูจน์ได้ว่า “แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้”
แสดงถึง “วิธีคิด” ที่สร้างคุณค่าจากความเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การพัฒนาคนและองค์กรที่แตกต่างอย่างโดดเด่น คือ เป็นทั้งวิทยากร ที่ปรึกษาและนักเขียนแบบ 3in1 ในตัว
ยุคนี้จึงมักพูดถึงคำว่า Mindset ซึ่งหมายถึง “กรอบแนวคิด” ของคนเรา ก็จะเป็นตัวกำหนดแนวทางและรูปแบบการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน และนำไปสู่ผลในอนาคตได้
เจ้ากรอบแนวคิดที่ว่านี้ เกิดจากการถูกปลูกฝัง สั่งสมด้วยความเชื่อ ทัศนคติและวิธีคิดของคนคนนั้น
กรอบแนวคิด (Mindset) ของใครเป็นแบบใด ก็จะส่งผลให้วิถีการใช้ชีวิตและการแสดงออกทางพฤติกรรมเป็นแนวนั้น ซึ่งมีตัวอย่างมากมายให้รับรู้กัน
ครอบครัวที่มีความเชื่อว่าการศึกษาคือเครื่องมือนำพาสู่ความสำเร็จก้าวหน้าในชีวิต พ่อแม่ก็จะทุ่มเททุกทางเพื่อหาเงินส่งลูกให้เรียนสูง ๆ
ส่วนคนที่เชื่อว่า การถูกหวยเป็นความหวังเดียวที่จะหนีความจน ด้วยการรวยทางลัด คนแบบนี้ก็ย่อมจะมีพฤติกรรมใช้เงินเพื่อเสี่ยงโชคเป็นประจำทุกงวดไม่เลิกรา
แต่คนที่เชื่อว่าโอกาสถูกหวย มีความเป็นไปได้น้อยมาก ๆ เขาย่อมจะไม่ยอมใช้เงินกับความเสี่ยงแบบนั้น
โดยเฉพาะปัญหาสังคมไทยในวงการต่าง ๆ ที่มีพฤติกรรมการทุจริต ก็เพราะมี Mindsetที่อยากรวยเร็ว จึงหาทางทำการทุจริตฉ้อฉล เพราะเชื่อว่าไม่มีใครรู้และกฎระเบียบตามไม่ทัน หารู้ไม่ว่ามี “กฎแห่งกรรม” ที่เที่ยงธรรมซึ่งต้องชดใช้กรรมแน่สักวัน
อาจารย์ณรงค์วิทย์ยืนยันว่า เรื่องกรอบแนวคิด (Mindset) เป็นเรื่องเฉพาะตัว ขนาดบางคนเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน ก็ยังมีแนวคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตแตกต่างกันไป
“สภาพแวดล้อมอาจจะมีผลบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับความเชื่อ ทัศนคติและวิธีคิดของตัวเขาเอง”
เรามารู้จักกับเรื่อง Mindset ให้ลึกลงไปตามที่ Dr. Carol S. Dweck อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้สรุปผลการวิจัยว่าคนมีกรอบแนวคิดอยู่ 2 แบบคือ
1.กรอบแนวคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset)
แนวคิดนี้เชื่อว่าความเก่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด (แบบมีพรสวรรค์) จะพัฒนาให้เก่งไม่ได้ คนมีแนวคิดแบบนี้ชอบยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง
2.กรอบแนวคิดแบบก้าวหน้า (Growth Mindset)
เชื่อว่าความเก่งพัฒนาได้ มีพฤติกรรมชอบเรียนรู้ใหม่ๆ ไม่กลัวความเหนื่อยยาก ชอบทำสิ่งท้าทาย สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี
สรุปแล้วเรากำลังอยู่ในสังคมโลกยุคดิจิทัลที่ไม่เหมือนเดิม เพราะระบบข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย รับ-ส่งข่าวสารกันได้สะดวก รวดเร็วและกว้างไกล
การดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงานของคนเราทุกคน ทุกระดับ เพื่อให้ก้าวทันโลกด้วยความสุขและสำเร็จอย่างมีความสุข จึงควรเริ่มที่ตัวเราในการปรับแนวคิดให้เป็นระบบแบบ Growth Mindset
•ปรับความเชื่อ เปลี่ยนความคิด มุ่งสู่แนวใฝ่ดี ใฝ่พัฒนา ต้องเชื่อว่าคนอื่นทำดีได้ เราก็ต้องทำได้
•เลิกหาข้ออ้าง เปลี่ยนมาสร้างข้อเอื้อ เพื่อก้าวข้ามปัญหาหรืออุปสรรค
•อย่าคิดว่าการแก้ปัญหา ต้องมีแพ้หรือชนะ แต่เราได้ “เรียนรู้” และเปลี่ยน “ปัญหา” เป็นหนทางสร้าง “ปัญญา”
•เชื่อมั่นในศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา
.................................................................
ข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ Growth Mindset พัฒนาตัวเองให้สำเร็จ แบบก้าวกระโดด
ผู้เขียน: ณรงค์วิทย์ แสนทอง
Line ID : narongwit
แนะนำหนังสือ
เป็นผู้นำไม่ต้องซ้ำแบบใคร
ผู้เขียน : บิล จอร์จ
ผู้แปล : นุชนาฎ เนตรประเสริฐศรี
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ ฮาว ทู
ราคา 295 บาท
หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เราทราบถึงประวัติของซีอีโอในองค์กรต่าง ๆ ในแง่ของภูมิหลัง จวบจนการใช้ชีวิตและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้เจอจนหล่อหลอมให้พวกเขามีแนวคิดที่น่าสนใจ จนสามารถหาเป้าหมายในชีวิตเจอ และประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้านในที่สุด
Data-Driven Marketing การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้า
ผู้เขียน: ณัฐพล ม่วงทำ
สำนักพิมพ์: อมรินทร์ ฮาว ทู
ราคา 345 บาท
ยุคที่ใคร ๆ
ก็เต็มไปด้วยดาต้า แต่จะมีใครบ้างที่เข้าถึงดาต้าจริง ๆ
หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดมุมมองในการทำงานกับ“Data” ในแบบที่ทำได้จริง
และเข้าถึงได้ ซึ่งเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว
เชื่อได้ว่าจะสามารถเข้าถึงดาต้าได้ และปฏิบัติติได้เลย
กฎแห่งทางลัด 40 กูรูโลก
ผู้เขียน : ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล
สำนักพิมพ์ : บ้านพระอาทิตย์
ราคา 250 บาท
เนื้อหากระตุ้นวิธีคิดให้ก้าวหน้า ใช้ชีวิตและทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีเป้าหมาย มีกลยุทธ์ และมีแผนเลือกทำสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผลคุ้มค่า ตอบโจทย์การงานสำเร็จ การเงินมั่งคั่ง สุขภาพดี อย่างมีความสุข
ไดโกะ อัจฉริยะเรียนเก่งแห่งญี่ปุ่น
ผู้เขียน : เมนทาลิสท์ ไดโกะ
ผู้แปล : ทินภาส พาหะนิชย์
สำนักพิมพ์ : เชนจ์พลัส
ราคา 220 บาท
สำหรับใครก็ตาม ที่อยากจะเรียนเก่ง หรือ เพิ่มทักษะในการเรียนให้ดียิ่งขึ้น เล่มนี้จะบอกถึงเทคนิคการเรียนเก่งอย่างอัจฉริยะ ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ไดโกะได้ศึกษาและลงมือทำ จนสัมฤทธิ์ผลกับตนเองได้จริง ๆ
ปวดหัว เวียนหัว หูอื้อ หายได้แค่เข้าใจสมอง
ผู้เขียน : ไล่ เหริน จง
ผู้แปล : อังค์วรา กุลวรรณวิจิตร
สำนักพิมพ์ : นานมีบุคส์
ราคา 195 บาท
คนในปัจจุบันมักมีปัญหาอาการปวดหัวต่าง ๆ แต่ก็ยังเข้าใจผิดอีกมากสำหรับเรื่องเหล่านี้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ จะมาพูดถึงความเข้าใจของโรคต่าง ๆ ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น และมีวิธีแก้ไขปัญหาที่เชื่อว่าอ่านเล่มนี้จบแล้ว จะเข้าใจโรคต่าง ๆ ได้มากขึ้นเลยก็ว่าได้