สถานการณ์โควิด-19 ในเมืองไทย พอจะลุ้นว่าใกล้จบได้ไหม ผู้คนหลายวงการก็คงคิดต่างกัน เพราะรับผลกระทบไม่เหมือนกัน
แม้ระยะหลังนี้ การแพร่ระบาดของโรคระบาดไวรัสโควิด 2019 (Covid-19) ในเมืองไทยดูจะมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มน้อยมาก แต่หลายประเทศในโลกตัวเลขคนติดเชื้อยังพุ่ง
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ หรือ ศบค.จึงยังเป็นห่วงกลัวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะกลับมารอบใหม่ เพราะหลายประเทศในโลกก็ยังมีตัวเลขเพิ่มไม่หยุด และผู้ป่วยที่เจอในเมืองไทยช่วงหลังมักจะติดเชื้อมาจากต่างประเทศ
จึงยังต้องเข้มงวดและประเมินผลใกล้ชิดต่อไป โดยให้มีกฎกติกามารยาท การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลและการดูแลรักษาความสะอาดมือไม้และสิ่งรอบตัว เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นผู้รับเชื้อร้ายและคนแพร่ต่อ
ความกังวลต่อความอยู่รอดปลอดภัยจากเชื้อโรคร้ายมากดดันพร้อมกับการต้องปรับตัว หาทางออกในการทำงานและการเงิน จนหลายๆ คนสะสมความรู้สึกกลายเป็นความเครียด
ถึงขนาดมีคนเขียนประชดเล่นในสื่อสังคมออนไลน์ว่า “โอกาสติดเชื้อมีเพียง 1% แต่โอกาสประสาทกิน 100%”
นั่นดูเหมือนสะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากขณะนี้หวาดวิตกกับปัญหาใกล้ตัวทั้งด้านความเสี่ยง ความปลอดภัยของสุขภาพและความรู้สึก มีความไม่แน่นอน ไม่มั่นคงด้านอาชีพ การงานและการเงิน
เป็นจังหวะเหมาะที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ของ นพ.ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมย์ศานต์ จิตแพทย์ชื่อดังและเป็นที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต
ชื่อหนังสือ “สร้างสติ รักษาจิต สู้ Covid-19” เล่มเล็กเท่าฝ่ามือ เนื้อหา 9 บท สั้นๆ ตอบโจทย์ความอยากรู้ได้ชัดเจนถึงเหตุและผลจากการเกิดความเครียดจากสถานการณ์ และวิธีการจัดการด้วยการ “ฝึกสติ”
อันที่จริง ความเครียดมีโอกาสเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราบ้าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะปกติหรือภาวะวิกฤตโควิด-19ตอนนี้ ซึ่งหากมองในแง่บวก ก็เป็นความกดดันคล้ายพลังผลักดันให้งานสำเร็จ เช่นเครียดก่อนสอบ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี หรือเมื่ออยู่ในวิกฤตโควิด-19 ก็ต้องตื่นตัวในการคาดหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ มีวิธีป้องกันตัวเองและคนรักให้ปลอดภัย
แต่ถ้าคิดมาก ว้าวุ่น กังวลใจ กลายเป็นความเครียดมากขึ้นต่อเนื่อง สมองจะสั่งให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารคอร์ติซอลซึ่งมีผลเสียคือ ลดการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันร่างกายเรา
ความเครียดที่สะสมเรื้อรังเมื่อไปผนวกกับสุขภาพที่เปราะบางของบางคน ก็จะเริ่มเจ็บป่วยทางกายและจิตใจ
โรคทางกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง แม้กระทั่งมะเร็ง
โรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล การติดสารเสพติด รวมทั้งเสพติดอินเทอร์เน็ต ติดการพนัน รวมทั้งภาวะเครียดหลังเหตุสะเทือนใจ
ประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ การจัดการความเครียดที่เกิดจากการสะสมอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งมี 3 องค์ประกอบ
1.รู้ไหมว่าเครียด หนังสือเล่มนี้มีแบบประเมินตัวเอง ให้รู้ระดับว่าหนักหนาไหม
2.ลดความเครียดอย่างไร ถ้าใช้การไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปเดินศูนย์การค้าหรือหาของอร่อยกิน นั่นเป็นแค่ “เบี่ยงเบนความเครียด” พอกลับบ้านหรือไปที่ทำงานเจอปัญหาก็เครียดเหมือนเดิม
ยิ่งถึงขนาดไปดื่มเหล้าหรือเล่นการพนันเพื่อหวังลืมเรื่องเครียด ก็อาจเพิ่มปัญหาให้เครียดหนักกว่าเดิม
วิธีคลายความเครียดที่ได้ผล เช่น ฝึกหายใจคลายเครียด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จินตนาการคลายเครียด หรือการออกกำลังกาย โดยเฉพาะประเภทเหยียดยืดช้า ๆ เช่น โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง เป็นต้น
3.ป้องกันความเครียด คือ ไม่ให้เกิดความเครียดใหม่เข้ามาในจิตใจ เช่นฝึกคิดแง่บวก บริหารเวลาให้เป็น และจัดลำดับทำงานสำคัญหรือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
วิธีการเหล่านี้เป็นการช่วยพัฒนา “จิตขั้นพื้นฐาน” ที่มีปกติในชีวิตประจำวันตอนตื่นอยู่ที่คนมักสะสมความคิดแง่ลบ แล้วสะสมกลายเป็นความเครียด
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ต้องใช้วิธีการฝึก “สมาธิและสติ” เพื่อยกระดับเป็น “สภาวะจิตขั้นสูง” ซึ่งขณะนี้สังคมโลกตะวันตกหลายประเทศพากันศึกษาฝึกฝนจริงจัง
การฝึกนั่งสมาธิช่วยให้จิต “หยุดคิด” โดยรู้ลมหายใจและอยู่กับปัจจุบัน จึงมีประโยชน์ 3 ประการ
1.ผ่อนคลาย ลดความว้าวุ่นที่สะสมในจิตใต้สำนึก และถ้าสะสมความสงบจนถึงจุดผ่อนคลายก็จะลดความเครียดอย่างได้ผล
2.ทำงานได้ดีขึ้น เมื่อออกจากความสงบของสมาธิแล้ว
3.สุขภาพดีขึ้น ความสงบและผ่อนคลายที่เกิดจากสมาธิ ทำให้ลดการสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ร่างกายจึงผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันความเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัด การติดเชื้อทางเดินหายใจหรือการขจัดเซลล์และสารแปลกปลอมที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง สมองเสื่อมและโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันผิดปกติต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม การจะใช้ชีวิตและการทำงานสำเร็จได้อย่างสงบโดยไม่เครียด ยังต้องมีสติดี การมีประสบการณ์นั่งสมาธิก็จะเป็นผลให้ฝึกสติได้ง่ายขึ้น
สำหรับคนมีสติ คือ รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะทำกิจธุระโดยไม่พลั้งเผลอ เพราะมีสติคอยควบคุมความคิดไม่ให้วอกแวกหรือถูกดึงไปด้วยความอยาก ความโกรธและความวิตกกังวล
การฝึกสติได้ง่าย ๆ ก็อาศัยลมหายใจเป็นฐานของสติควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพราะการรู้ลมหายใจจึงเป็นการอยู่กับปัจจุบัน และช่วยให้เราอยู่กับกิจที่ทำได้ดีขึ้น
คุณหมอยงยุทธ์ฝากข้อคิดไว้ตอนท้ายเล่มว่า.... แม้สติจะไม่ใช่ยาครอบจักรวาล แต่เป็นแม่บทแห่งทักษะที่นำไปใช้ได้ทั้งกิจภายนอกและภายใน ทำให้เราฝ่าวิกฤตด้วยความสงบ ปล่อยวาง มีเมตตา ให้อภัย และมีใจกรุณาช่วยเหลือผู้อื่น
วิกฤตผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป หลังวิกฤตโควิด-19 สติจะทำให้เราไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไป เพราะเรามีสติมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น คือ ช่วยให้เราคิดใคร่ครวญว่าครอบครัว ชุมชน องค์กรและสังคมเราจะก้าวต่อไปอย่างไรให้ดีกว่าเดิม
.......................................................................
ข้อมูลจากหนังสือ สร้างสติ รักษาจิต สู้ COVID-19
ผู้เขียน นพ.ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมศานต์
สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
แนะนำหนังสือ
การเงิน101
ผู้เขียน : MoneyBuffalo (พี่ทุย)
: ซีเอ็ดยูเคชั่น
พื้นฐานเรื่องการเงิน ที่ระบบการศึกษาไทยไม่เคยสอน ถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือการเงินส่วนบุคคลที่จะนำไปใช้กับชีวิตของคุณได้จริงและช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไปในทิศทางที่คุณต้องการขอแนะนำให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้!
เปลี่ยนให้โต GO!ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล
ผู้เขียน : SunilKupta
ผู้แปล: ศิริลักษณ์ มานะวงศ์เจริญ
สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์
ราคา 280 บาท
การเปลี่ยนลูกค้าที่เลิกสนใจคุณให้กลายเป็นลูกค้าที่รักคุณที่สุดทำได้จริง ๆ "เปลี่ยนให้โต Go! ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล"มีคำตอบ!
เมื่อไม่มีเส้นทางที่ง่ายในการทำธุรกิจ
ผู้เขียน: BenHorowitz
ผู้แปล: วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
สำนักพิมพ์วีเลิร์น
ราคา340 บาท
"Ben Horowitz" ซีอีโอและนักลงทุนระดับตำนานของ "ซิลิคอนวัลเลย์" ที่เคยผ่านมรสุมลูกมหึมาในธุรกิจสตาร์ตอัพยุคฟองสบู่แตกมาแล้วนี่คือหนังสือที่คนทำธุรกิจต้องอ่านโดยเฉพาะในยุคที่ทุกสิ่งผันผวนและคาดเดาไม่ได้เหมือนทุกวันนี้!
กฎการทำงานของ Google
ผู้เขียน: LaszloBock
ผู้แปล: วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น
ราคา395 บาท
เคล็ดลับความสำเร็จในเรื่องคนของกูเกิลสามารถนำไปปรับใช้ในองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กและไม่ว่าจะเป็นพนักงานธรรมดาหรือซีอีโอก็ใช้ได้ทั้งนั้น
สยบดราม่าในองค์กร
ผู้เขียน: นพ. มนตรี แสงภัทราชัย
สำนักพิมพ์: เชนจ์พลัส
ราคา180 บาท
ไขความลับสู่ความสำเร็จแห่งการบริหารจัดการความขัดแย้งของคนทุกระดับในองค์กรอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนและศาสตร์แห่งการโค้ชตนเอง ซึ่งนำไปใช้ได้จริงในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
แม้ระยะหลังนี้ การแพร่ระบาดของโรคระบาดไวรัสโควิด 2019 (Covid-19) ในเมืองไทยดูจะมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มน้อยมาก แต่หลายประเทศในโลกตัวเลขคนติดเชื้อยังพุ่ง
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ หรือ ศบค.จึงยังเป็นห่วงกลัวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะกลับมารอบใหม่ เพราะหลายประเทศในโลกก็ยังมีตัวเลขเพิ่มไม่หยุด และผู้ป่วยที่เจอในเมืองไทยช่วงหลังมักจะติดเชื้อมาจากต่างประเทศ
จึงยังต้องเข้มงวดและประเมินผลใกล้ชิดต่อไป โดยให้มีกฎกติกามารยาท การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลและการดูแลรักษาความสะอาดมือไม้และสิ่งรอบตัว เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นผู้รับเชื้อร้ายและคนแพร่ต่อ
ความกังวลต่อความอยู่รอดปลอดภัยจากเชื้อโรคร้ายมากดดันพร้อมกับการต้องปรับตัว หาทางออกในการทำงานและการเงิน จนหลายๆ คนสะสมความรู้สึกกลายเป็นความเครียด
ถึงขนาดมีคนเขียนประชดเล่นในสื่อสังคมออนไลน์ว่า “โอกาสติดเชื้อมีเพียง 1% แต่โอกาสประสาทกิน 100%”
นั่นดูเหมือนสะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากขณะนี้หวาดวิตกกับปัญหาใกล้ตัวทั้งด้านความเสี่ยง ความปลอดภัยของสุขภาพและความรู้สึก มีความไม่แน่นอน ไม่มั่นคงด้านอาชีพ การงานและการเงิน
เป็นจังหวะเหมาะที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ของ นพ.ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมย์ศานต์ จิตแพทย์ชื่อดังและเป็นที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต
ชื่อหนังสือ “สร้างสติ รักษาจิต สู้ Covid-19” เล่มเล็กเท่าฝ่ามือ เนื้อหา 9 บท สั้นๆ ตอบโจทย์ความอยากรู้ได้ชัดเจนถึงเหตุและผลจากการเกิดความเครียดจากสถานการณ์ และวิธีการจัดการด้วยการ “ฝึกสติ”
อันที่จริง ความเครียดมีโอกาสเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราบ้าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะปกติหรือภาวะวิกฤตโควิด-19ตอนนี้ ซึ่งหากมองในแง่บวก ก็เป็นความกดดันคล้ายพลังผลักดันให้งานสำเร็จ เช่นเครียดก่อนสอบ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี หรือเมื่ออยู่ในวิกฤตโควิด-19 ก็ต้องตื่นตัวในการคาดหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ มีวิธีป้องกันตัวเองและคนรักให้ปลอดภัย
แต่ถ้าคิดมาก ว้าวุ่น กังวลใจ กลายเป็นความเครียดมากขึ้นต่อเนื่อง สมองจะสั่งให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารคอร์ติซอลซึ่งมีผลเสียคือ ลดการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันร่างกายเรา
ความเครียดที่สะสมเรื้อรังเมื่อไปผนวกกับสุขภาพที่เปราะบางของบางคน ก็จะเริ่มเจ็บป่วยทางกายและจิตใจ
โรคทางกาย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง แม้กระทั่งมะเร็ง
โรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล การติดสารเสพติด รวมทั้งเสพติดอินเทอร์เน็ต ติดการพนัน รวมทั้งภาวะเครียดหลังเหตุสะเทือนใจ
ประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ การจัดการความเครียดที่เกิดจากการสะสมอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งมี 3 องค์ประกอบ
1.รู้ไหมว่าเครียด หนังสือเล่มนี้มีแบบประเมินตัวเอง ให้รู้ระดับว่าหนักหนาไหม
2.ลดความเครียดอย่างไร ถ้าใช้การไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปเดินศูนย์การค้าหรือหาของอร่อยกิน นั่นเป็นแค่ “เบี่ยงเบนความเครียด” พอกลับบ้านหรือไปที่ทำงานเจอปัญหาก็เครียดเหมือนเดิม
ยิ่งถึงขนาดไปดื่มเหล้าหรือเล่นการพนันเพื่อหวังลืมเรื่องเครียด ก็อาจเพิ่มปัญหาให้เครียดหนักกว่าเดิม
วิธีคลายความเครียดที่ได้ผล เช่น ฝึกหายใจคลายเครียด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จินตนาการคลายเครียด หรือการออกกำลังกาย โดยเฉพาะประเภทเหยียดยืดช้า ๆ เช่น โยคะ ไทเก๊ก ชี่กง เป็นต้น
3.ป้องกันความเครียด คือ ไม่ให้เกิดความเครียดใหม่เข้ามาในจิตใจ เช่นฝึกคิดแง่บวก บริหารเวลาให้เป็น และจัดลำดับทำงานสำคัญหรือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
วิธีการเหล่านี้เป็นการช่วยพัฒนา “จิตขั้นพื้นฐาน” ที่มีปกติในชีวิตประจำวันตอนตื่นอยู่ที่คนมักสะสมความคิดแง่ลบ แล้วสะสมกลายเป็นความเครียด
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ต้องใช้วิธีการฝึก “สมาธิและสติ” เพื่อยกระดับเป็น “สภาวะจิตขั้นสูง” ซึ่งขณะนี้สังคมโลกตะวันตกหลายประเทศพากันศึกษาฝึกฝนจริงจัง
การฝึกนั่งสมาธิช่วยให้จิต “หยุดคิด” โดยรู้ลมหายใจและอยู่กับปัจจุบัน จึงมีประโยชน์ 3 ประการ
1.ผ่อนคลาย ลดความว้าวุ่นที่สะสมในจิตใต้สำนึก และถ้าสะสมความสงบจนถึงจุดผ่อนคลายก็จะลดความเครียดอย่างได้ผล
2.ทำงานได้ดีขึ้น เมื่อออกจากความสงบของสมาธิแล้ว
3.สุขภาพดีขึ้น ความสงบและผ่อนคลายที่เกิดจากสมาธิ ทำให้ลดการสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล ร่างกายจึงผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ช่วยป้องกันความเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัด การติดเชื้อทางเดินหายใจหรือการขจัดเซลล์และสารแปลกปลอมที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง สมองเสื่อมและโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันผิดปกติต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม การจะใช้ชีวิตและการทำงานสำเร็จได้อย่างสงบโดยไม่เครียด ยังต้องมีสติดี การมีประสบการณ์นั่งสมาธิก็จะเป็นผลให้ฝึกสติได้ง่ายขึ้น
สำหรับคนมีสติ คือ รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะทำกิจธุระโดยไม่พลั้งเผลอ เพราะมีสติคอยควบคุมความคิดไม่ให้วอกแวกหรือถูกดึงไปด้วยความอยาก ความโกรธและความวิตกกังวล
การฝึกสติได้ง่าย ๆ ก็อาศัยลมหายใจเป็นฐานของสติควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพราะการรู้ลมหายใจจึงเป็นการอยู่กับปัจจุบัน และช่วยให้เราอยู่กับกิจที่ทำได้ดีขึ้น
คุณหมอยงยุทธ์ฝากข้อคิดไว้ตอนท้ายเล่มว่า.... แม้สติจะไม่ใช่ยาครอบจักรวาล แต่เป็นแม่บทแห่งทักษะที่นำไปใช้ได้ทั้งกิจภายนอกและภายใน ทำให้เราฝ่าวิกฤตด้วยความสงบ ปล่อยวาง มีเมตตา ให้อภัย และมีใจกรุณาช่วยเหลือผู้อื่น
วิกฤตผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป หลังวิกฤตโควิด-19 สติจะทำให้เราไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไป เพราะเรามีสติมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น คือ ช่วยให้เราคิดใคร่ครวญว่าครอบครัว ชุมชน องค์กรและสังคมเราจะก้าวต่อไปอย่างไรให้ดีกว่าเดิม
.......................................................................
ข้อมูลจากหนังสือ สร้างสติ รักษาจิต สู้ COVID-19
ผู้เขียน นพ.ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมศานต์
สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
แนะนำหนังสือ
การเงิน101
ผู้เขียน : MoneyBuffalo (พี่ทุย)
: ซีเอ็ดยูเคชั่น
พื้นฐานเรื่องการเงิน ที่ระบบการศึกษาไทยไม่เคยสอน ถ้าคุณกำลังมองหาหนังสือการเงินส่วนบุคคลที่จะนำไปใช้กับชีวิตของคุณได้จริงและช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไปในทิศทางที่คุณต้องการขอแนะนำให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้!
เปลี่ยนให้โต GO!ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล
ผู้เขียน : SunilKupta
ผู้แปล: ศิริลักษณ์ มานะวงศ์เจริญ
สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์
ราคา 280 บาท
การเปลี่ยนลูกค้าที่เลิกสนใจคุณให้กลายเป็นลูกค้าที่รักคุณที่สุดทำได้จริง ๆ "เปลี่ยนให้โต Go! ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล"มีคำตอบ!
เมื่อไม่มีเส้นทางที่ง่ายในการทำธุรกิจ
ผู้เขียน: BenHorowitz
ผู้แปล: วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
สำนักพิมพ์วีเลิร์น
ราคา340 บาท
"Ben Horowitz" ซีอีโอและนักลงทุนระดับตำนานของ "ซิลิคอนวัลเลย์" ที่เคยผ่านมรสุมลูกมหึมาในธุรกิจสตาร์ตอัพยุคฟองสบู่แตกมาแล้วนี่คือหนังสือที่คนทำธุรกิจต้องอ่านโดยเฉพาะในยุคที่ทุกสิ่งผันผวนและคาดเดาไม่ได้เหมือนทุกวันนี้!
กฎการทำงานของ Google
ผู้เขียน: LaszloBock
ผู้แปล: วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
สำนักพิมพ์: วีเลิร์น
ราคา395 บาท
เคล็ดลับความสำเร็จในเรื่องคนของกูเกิลสามารถนำไปปรับใช้ในองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กและไม่ว่าจะเป็นพนักงานธรรมดาหรือซีอีโอก็ใช้ได้ทั้งนั้น
สยบดราม่าในองค์กร
ผู้เขียน: นพ. มนตรี แสงภัทราชัย
สำนักพิมพ์: เชนจ์พลัส
ราคา180 บาท
ไขความลับสู่ความสำเร็จแห่งการบริหารจัดการความขัดแย้งของคนทุกระดับในองค์กรอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนและศาสตร์แห่งการโค้ชตนเอง ซึ่งนำไปใช้ได้จริงในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว