xs
xsm
sm
md
lg

ไม่อยาก “แก่” ก่อนวัยอันควร อย่ากินอาหารเหล่านี้บ่อยเกินไป

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

คงจะไม่มีใครชอบให้ใครมาทักว่า “แก่” หรอกจริงไหม หรือบางคนโดนเรียกว่า “พี่” ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย ก็พานเอารู้สึกเสียความมั่นใจขึ้นมาได้ แล้วจะทำอย่างไร?

รู้หรือไม่ว่า อาหารหรือเครื่องดื่มก็มีส่วนทำให้แก่ก่อนวัยอันควรได้ มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

1.อาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง

หลายคนคงโปรดปรานอาหารประเภทนี้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก ลูกชิ้น แฮม เบคอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฯลฯ แต่หากกินมากและบ่อยเกินไปจะทำให้แก่ก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นอันตราย ทั้งน้ำตาลฟรุกโทส สีผสมอาหาร ผงชูรส สารเติมแต่งอื่นๆ หรือแม้กระทั่งฟอร์มัลดิไฮด์ สารก่อมะเร็ง อีกทั้งยังเป็นตัวกระตุ้นการอักเสบของผิวส่งผลให้ริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

2.อาหารหมักดอง รวมไปถึงอาหารที่มีสารปนเปื้อน

เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดผลเสียต่อผิวพรรณ แถมยังอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย ซึ่งสารปนเปื้อนได้แก่ 1. สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสุกร 2. สารกันรา หรือกรดซาลิซิลิค พบได้ในอาหารประเภทแหนม หมูยอ และผักผลไม้ดอง 3. สารฟอกขาว ส่วนใหญ่จะอยู่ในเห็ดหูหนูขาว เยื่อไผ่ หน่อไม้ ถั่วงอก แป้ง หรือเส้นก๋วยเตี๋ยว 4. สารบอแรกซ์ พบมากในอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อวัว 5. สารฟอร์มาลิน ถูกนำมาใช้กับอาหารสด ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เนื้อสัตว์ หรือกระทั่งผักผลไม้ และ 6. ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ทางที่ดีควรเลือกซื้ออาหารเหล่านี้จากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและเชื่อถือได้

โดยเฉพาะผักและผลไม้ ก่อนรับประทานควรแช่และล้างให้สะอาดด้วยการเปิดน้ำไหลผ่าน หรือจะใช้วิธีแช่ในน้ำผสมกับน้ำส้มสายชูประมาณ 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง

3. อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์

ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์พบได้ในอาหารประเภททอดๆ มันๆ รวมไปถึงอาหารฟาสต์ฟูด เบเกอรีต่างๆ เช่น ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หมูทอด โดนัท เค้ก คุกกี้ พิซซ่า รวมไปถึงนมข้นหวาน ครีมเทียม มาการีน ฯลฯ

โดยไขมันชนิดดังกล่าวอาจนำไปสู่การอักเสบในร่างกาย ซึ่งการอักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดบรรดาสิวชนิดต่างๆ บนใบหน้าได้ รวมไปถึงอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือด อ้วนลงพุง ความจำเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม ถุงน้ำดีอักเสบ มีบุตรยากด้วย

ทั้งนี้ ปริมาณแนะนำสูงสุดในการบริโภคไขมันทรานส์ต้องไม่เกิน 1% ของค่าพลังงานต่อวัน (หรือประมาณ 2 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 0.5 กรัมต่อหน่วยบริโภค) อย่างไรก็ตาม  FAO ยังแนะนำปริมาณสูงสุดในการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่ไม่เกิน 10% ของค่าพลังงาน (หรือประมาณ 20 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 5 กรัมต่อมื้อ) นั่นเอง

4.อาหารรสจัด

ไม่ว่าจะเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัด ก็อาจทำร้ายผิวพรรณคุณได้ทั้งนั้น นอกจากนี้แล้วยังทำให้กระเพาะทำงานหนัก ซึ่งโทษของกินอาหารรสจัด เช่น เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ท้องอืด อาจทำให้อ้วน เนื่องจากอาหารรสจัดทำให้เรามีความอยากรับประทานอาหารมากขึ้น หรืออาหารเค็มจัดก็ทำให้เสี่ยงต่อโรคไต เพราะมักมีส่วนผสมของเกลือ ผงชูรส ที่มีโซเดียมอยู่ในปริมาณมากและเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนอาหารรสหวานจัดอาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้

ทางที่ดีหันมาเลือกกินอาหารรสจืดแทน โดยเริ่มจากการค่อยๆ ลดการเติมเครื่องปรุงลดการจิ้มน้ำจิ้มต่างๆ หรือหากทำอาหารกินเองก็ใส่เครื่องปรุงให้น้อยเข้าไว้

5.อาหารหรือเครื่องดื่มน้ำตาลสูง

ใครที่ชื่นชอบกินหวานเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ชานมไข่มุก ขนมปัง เค้ก คุกกี้ เบเกอรีต่างๆ รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลสูงอื่นๆ อาจส่งผลให้ผิวของคุณแก่ก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปทำให้ผิวเซลล์ผิวพรรณเสื่อมสภาพ ไม่สดใส เหี่ยวย่น ขาดความยืดหยุ่น และเกิดสิวได้

หากอยากกินของหวานขึ้นมาลองเปลี่ยนมากินผลไม้สดหวานน้อย เช่น แอปเปิล ฝรั่ง มะละกอ ชมพู่ ฯลฯ ก็ดีต่อสุขภาพและมีประโยชน์ไม่น้อย แถมยังทำให้ผิวของคุณดูดีขึ้นได้อีกด้วย

6.เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ได้แก่ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง ล้วนส่งผลทำให้ผิวพรรณไม่สดใส เพราะหากดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้มากเกินไป อาจจะไปขัดขวางการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายได้ อีกทั้งกาเฟอีนยังทำให้ร่างกายขับน้ำออกมาบ่อย จนเกิดภาวะขาดน้ำ ส่งผลทำให้ผิวพรรณแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ ทางที่ดีไม่ควรดื่มเกินวันละครั้งหรือวันละ 1-2 แก้วจะดีกว่า

7.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยจะส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหมองคล้ำไม่สดใส ผิวแห้ง หน้าบวม และสิวขึ้นได้

อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังทำลายสุขภาพตับด้วย ซึ่งตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษและของเสีย ผลิตน้ำดีในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สร้างและเก็บสะสมแป้งและไขมันเพื่อเป็นพลังงาน อีกทั้งยังรักษาสมดุลในร่างกาย และเป็นภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น