หลายคนคงเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า “ผักผลไม้นั้นมีประโยชน์” นั่นคือความจริง เพราะผักผลไม้มีประโยชน์ร้อยแปดพันเก้าอย่าง...แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกินผัก มันยากเย็นแสนเข็นนักกว่าที่จะกลืนผักใบเขียวๆ ลงคอไปได้
แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อร่างกายเราต้องการ “สารพฤกษเคมี” หรือ สารไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งสารเคมีตามธรรมชาติที่พบได้เฉพาะในพืช สารชนิดนี้ทำให้ผักผลไม้ต่างๆ มีรสชาติ และสีเฉพาะตัว ทั้งยังช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้ เช่น โรงมะเร็ง โรคหัวใจ ความดัน และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย และทางเดียวที่เราจะได้รับสารนี้เข้าไปในร่างกายก็คือ...กินมันซะ
ไม่ชอบผัก! คงมีหลายคนที่ตะโกนประโยคนี้ออกมา แต่ไฉนเลยจะไม่กินก็ไม่ได้ ในเมื่อหลักการกินอาหารสูตร 2:1:1 จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขค้ำคออยู่ โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ที่หันมารักสุขภาพกันมากขึ้น และกำลังคิดจะควบคุมน้ำหนักเพื่อร่างกายที่แข็งแรง การกินผักผลไม้จึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันล่ะ?
นักโภชนาการต่างพูดเป็นเสียงดียวกันว่า ต้องกินผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สีถึงจะดีต่อสุขภาพ แล้วผักผลไม้ 5 สีนี้มีสีอะไร ช่วยเรื่องอะไรเราได้บ้าง...ไปดูกันเลย

ผักผลไม้สีเขียว
ผักผลไม้กลุ่มนี้มี คลอโรฟิลล์ และ ลูทีน สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ทั้งยังมีไฟเบอร์สูงช่วยในเรื่องการขับถ่ายที่ดี และช่วยลดริ้วรอยอีกด้วย สาวๆ คนไหนอยากลดริ้วรอยต้องไม่พลาดกินผักผลไม้กลุ่มนี้ เราจะหาประโยชน์เหล่านี้ได้จากผัก เช่น คะน้า ผักบุ้ง แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดหอม บวบ ขึ้นฉ่าย ชะอม และผลไม้ เช่น กีวี องุ่นเขียว ฝรั่ง แอปเปิลเขียว เป็นต้น
ผักผลไม้สีแดง
ผักผลไม้สีแดงนี้มีสาร ไลโคปีน และ เบตาไซยานิน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี และกลูตาไธโอนหลายเท่า ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคความจำเสื่อม ลดไขมันในเส้นเลือด และยังสามารถลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หนุ่มๆ ต้องรีบหันมากินแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าไม่เตือนนะ! โดยกลุ่มผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ พริกแดง กระเจี๊ยบแดง บีทรูท และผลไม้สีแดง เช่น สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แตงโม ทับทิม แอปเปิลแดง แก้วมังกรสีแดง เชอร์รี พุทรา
ผักผลไม้สีม่วง-น้ำเงิน
ผักผลไม้สีม่วง-น้ำเงิน จะมีสาร แอนโทไซยานิน ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันในสมอง ลดเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้ออีโคไลเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ด้วย อีกทั้งยังเหมาะกับสาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะสารในผักผลไม้สีม่วงจะช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม โดยผักสีม่วง-น้ำเงิน เช่น กะหล่ำปลีสีม่วง มันม่วง เผือก ข้าวแดงหรือข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี มะเขือม่วง หอมแดง ผลไม้ เช่น องุ่นแดง บลูเบอร์รี ชมพู่ม่าเหมี่ยว ชมพู่แดง ลูกหว้า ลูกเกด ลูกพรุน ลูกหม่อนหรือมัลเบอร์รี รวมถึงดอกไม้สีม่วงที่กินได้อย่าง อัญชัน เป็นต้น

ผักผลไม้สีส้ม-เหลือง
ผักผลไม้ในกลุ่มนี้มีสารหลายชนิด คือ เบต้าแคโรทีน, ฟลาโวนอยด์ และ ลูทีน เป็นสารที่ช่วยในการบำรุงสายตา ดูแลหัวใจและหลอดเลือด สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดไขมันในเส้นเลือด ลดคอเรสเตอรอล และความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานดวงตาหนักเป็นอย่างมาก ใครที่จ้องหน้าคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์นานๆ ดวงตาก็จะล้า หรือบางคนที่ใช้ดวงตาเพ่งอ่านหนังสือมากเกินไปก็เช่นกัน ดังนั้นต้องกินผักผลไม้กลุ่มนี้เยอะๆ เพื่อดวงตาที่สดใส สามารถกินผัก เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ขมิ้นชัน มะละกอ มะนาว ในผลไม้ เช่น ส้ม ขนุน สับปะรด มะม่วง ทุเรียน เสาวรส ลูกพลับ
ผักผลไม้สีขาว-น้ำตาล
ผักผลไม้กลุ่มสีขาว-น้ำตาลนี้ มีสาร แซนโทน, อัลลิซิน และ กรดไซแนปติก ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเซลล์ให้แข็งแรง ลดการเกิดเนื้องอกและมะเร็งต่างๆ ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันได้ จึงเหมาะกับหลายคนที่เข้าใกล้วัยสูงอายุ เพราะยิ่งอายุมากโรคต่างๆ ก็ยิ่งตามมา การควบคุมการกินอาหารเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นจึงควรหาผักผลไม้สีขาว-น้ำตาลมากิน เช่น ขิง ข่า กระเทียม หัวไชเท้า งาขาว เมล็ดงา ธัญพืชต่างๆ และผลไม้ เช่น ลูกเดือย ลิ้นจี่ แห้ง ลองกอง เงาะ กล้วยต่างๆ ละมุด พุทรา สาลี่ ลำไย
จะว่าไปแล้วผักผลไม้ 5 สี มีมากมาย มีทั้งที่กินยากและไม่อร่อย เช่น กระเทียม แต่เราก็สามารถกินหัวไชเท้าทดแทนได้ เห็นไหมว่าการหันมากินผักผลไม้นั้นไม่ยากเลย แถมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผักผลไม้ที่เราสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป เส้นทางหุ่นสวยสุขภาพดีจึงไม่ยากเกินไปใช่ไหมล่ะ และเราสามารถนำความรู้เรื่องผักผลไม้ 5 สีนี้ไปปรับใช้กับสูตรการกินอาหารแบบ 2:1:1 ตามที่กรมอนามัยแนะนำได้ด้วย จะกินมื้อละสี วันละสี หรือกินทั้ง 5 สีในหนึ่งวันก็ไม่มีใครว่า ขอแค่กินสิ่งที่มีประโยชน์เข้าร่างกายก็พอแล้ว
สุดท้ายอย่าลืมออกกำลังกายเรียกเหงื่อให้ร่างกายเผาผลาญส่วนเกินต่างๆ ออกไปด้วย เพียงเท่านี้ก็จะมีร่างกายที่สวยงาม แข็งแรงแล้ว

ข่าวโดย : ศศิธร ตะนัยสี
แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อร่างกายเราต้องการ “สารพฤกษเคมี” หรือ สารไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งสารเคมีตามธรรมชาติที่พบได้เฉพาะในพืช สารชนิดนี้ทำให้ผักผลไม้ต่างๆ มีรสชาติ และสีเฉพาะตัว ทั้งยังช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้ เช่น โรงมะเร็ง โรคหัวใจ ความดัน และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย และทางเดียวที่เราจะได้รับสารนี้เข้าไปในร่างกายก็คือ...กินมันซะ
ไม่ชอบผัก! คงมีหลายคนที่ตะโกนประโยคนี้ออกมา แต่ไฉนเลยจะไม่กินก็ไม่ได้ ในเมื่อหลักการกินอาหารสูตร 2:1:1 จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขค้ำคออยู่ โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ที่หันมารักสุขภาพกันมากขึ้น และกำลังคิดจะควบคุมน้ำหนักเพื่อร่างกายที่แข็งแรง การกินผักผลไม้จึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันล่ะ?
นักโภชนาการต่างพูดเป็นเสียงดียวกันว่า ต้องกินผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สีถึงจะดีต่อสุขภาพ แล้วผักผลไม้ 5 สีนี้มีสีอะไร ช่วยเรื่องอะไรเราได้บ้าง...ไปดูกันเลย
ผักผลไม้สีเขียว
ผักผลไม้กลุ่มนี้มี คลอโรฟิลล์ และ ลูทีน สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ทั้งยังมีไฟเบอร์สูงช่วยในเรื่องการขับถ่ายที่ดี และช่วยลดริ้วรอยอีกด้วย สาวๆ คนไหนอยากลดริ้วรอยต้องไม่พลาดกินผักผลไม้กลุ่มนี้ เราจะหาประโยชน์เหล่านี้ได้จากผัก เช่น คะน้า ผักบุ้ง แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดหอม บวบ ขึ้นฉ่าย ชะอม และผลไม้ เช่น กีวี องุ่นเขียว ฝรั่ง แอปเปิลเขียว เป็นต้น
ผักผลไม้สีแดง
ผักผลไม้สีแดงนี้มีสาร ไลโคปีน และ เบตาไซยานิน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินอี และกลูตาไธโอนหลายเท่า ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคความจำเสื่อม ลดไขมันในเส้นเลือด และยังสามารถลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หนุ่มๆ ต้องรีบหันมากินแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าไม่เตือนนะ! โดยกลุ่มผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ พริกแดง กระเจี๊ยบแดง บีทรูท และผลไม้สีแดง เช่น สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี แตงโม ทับทิม แอปเปิลแดง แก้วมังกรสีแดง เชอร์รี พุทรา
ผักผลไม้สีม่วง-น้ำเงิน
ผักผลไม้สีม่วง-น้ำเงิน จะมีสาร แอนโทไซยานิน ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันในสมอง ลดเชื้ออีโคไลในทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้ออีโคไลเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ด้วย อีกทั้งยังเหมาะกับสาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะสารในผักผลไม้สีม่วงจะช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางาม โดยผักสีม่วง-น้ำเงิน เช่น กะหล่ำปลีสีม่วง มันม่วง เผือก ข้าวแดงหรือข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี มะเขือม่วง หอมแดง ผลไม้ เช่น องุ่นแดง บลูเบอร์รี ชมพู่ม่าเหมี่ยว ชมพู่แดง ลูกหว้า ลูกเกด ลูกพรุน ลูกหม่อนหรือมัลเบอร์รี รวมถึงดอกไม้สีม่วงที่กินได้อย่าง อัญชัน เป็นต้น
ผักผลไม้สีส้ม-เหลือง
ผักผลไม้ในกลุ่มนี้มีสารหลายชนิด คือ เบต้าแคโรทีน, ฟลาโวนอยด์ และ ลูทีน เป็นสารที่ช่วยในการบำรุงสายตา ดูแลหัวใจและหลอดเลือด สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดไขมันในเส้นเลือด ลดคอเรสเตอรอล และความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานดวงตาหนักเป็นอย่างมาก ใครที่จ้องหน้าคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์นานๆ ดวงตาก็จะล้า หรือบางคนที่ใช้ดวงตาเพ่งอ่านหนังสือมากเกินไปก็เช่นกัน ดังนั้นต้องกินผักผลไม้กลุ่มนี้เยอะๆ เพื่อดวงตาที่สดใส สามารถกินผัก เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ขมิ้นชัน มะละกอ มะนาว ในผลไม้ เช่น ส้ม ขนุน สับปะรด มะม่วง ทุเรียน เสาวรส ลูกพลับ
ผักผลไม้สีขาว-น้ำตาล
ผักผลไม้กลุ่มสีขาว-น้ำตาลนี้ มีสาร แซนโทน, อัลลิซิน และ กรดไซแนปติก ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเซลล์ให้แข็งแรง ลดการเกิดเนื้องอกและมะเร็งต่างๆ ช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันโรคความดันได้ จึงเหมาะกับหลายคนที่เข้าใกล้วัยสูงอายุ เพราะยิ่งอายุมากโรคต่างๆ ก็ยิ่งตามมา การควบคุมการกินอาหารเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโรคร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นจึงควรหาผักผลไม้สีขาว-น้ำตาลมากิน เช่น ขิง ข่า กระเทียม หัวไชเท้า งาขาว เมล็ดงา ธัญพืชต่างๆ และผลไม้ เช่น ลูกเดือย ลิ้นจี่ แห้ง ลองกอง เงาะ กล้วยต่างๆ ละมุด พุทรา สาลี่ ลำไย
จะว่าไปแล้วผักผลไม้ 5 สี มีมากมาย มีทั้งที่กินยากและไม่อร่อย เช่น กระเทียม แต่เราก็สามารถกินหัวไชเท้าทดแทนได้ เห็นไหมว่าการหันมากินผักผลไม้นั้นไม่ยากเลย แถมส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผักผลไม้ที่เราสามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป เส้นทางหุ่นสวยสุขภาพดีจึงไม่ยากเกินไปใช่ไหมล่ะ และเราสามารถนำความรู้เรื่องผักผลไม้ 5 สีนี้ไปปรับใช้กับสูตรการกินอาหารแบบ 2:1:1 ตามที่กรมอนามัยแนะนำได้ด้วย จะกินมื้อละสี วันละสี หรือกินทั้ง 5 สีในหนึ่งวันก็ไม่มีใครว่า ขอแค่กินสิ่งที่มีประโยชน์เข้าร่างกายก็พอแล้ว
สุดท้ายอย่าลืมออกกำลังกายเรียกเหงื่อให้ร่างกายเผาผลาญส่วนเกินต่างๆ ออกไปด้วย เพียงเท่านี้ก็จะมีร่างกายที่สวยงาม แข็งแรงแล้ว
ข่าวโดย : ศศิธร ตะนัยสี