ทำเอาให้กังวลอีกครั้งสำหรับสายรักสุขภาพ เมื่อบนโลกอินเทอร์เน็ตได้เผยแพร่ข้อมูลที่ว่า “ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ เพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งเต้านม” ปัญหานี้ได้นำคำตอบจาก นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว หัวหน้าศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลพญาไท 2 มาคลายข้อสงสัยกัน
1.ข้อสงสัยที่ว่า ถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม
จากหลักฐานการทดลองที่พบในคนมีการสรุปว่า ถั่วเหลือง และเต้าหู้ ไม่ได้ทำให้คนเป็นมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน คนที่รับประทานถั่วเหลืองมากๆ นั้นยิ่งมีโอกาสในการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน ขณะเดียวกัน ผลการทดลองกับผู้ป่วยที่เคยรับการรักษามะเร็งเต้านมจนหาย กลับพบว่ากลุ่มที่กินถั่วเหลืองเป็นประจำ (นมถั่วเหลือง 1 แก้วต่อวัน) มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมซ้ำน้อยกว่าอดีตผู้ป่วยที่ไม่ได้กินถั่วเหลือง แถมยังมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ถ้ากล่าวถึงหลักฐานในห้องทดลอง กลับพบทั้งในแง่ของไฟโตเอสจากถั่วเหลืองอาจกระตุ้นเซลล์มะเร็ง และอาจเป็นเสมือนยาต้านมะเร็งได้ จึงสรุปได้ว่าหากเป็นทดลองในห้องแล็บยังให้ผลขัดแย้งกันเองอยู่ ตราบใดที่การทดลองยังไม่ชัดเจนขอให้เชื่อผลการทดลองกับมนุษย์จะชัดเจนกว่า
2.สารเคมีที่ตกค้างในผลิตภัณฑ์ทำให้เป็นมะเร็ง
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อถั่วเหลืองเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีปลูกแบบตัดแต่งพันธุกรรม หรือ GMO โดยใช้ร่วมกับยาฆ่าวัชพืชที่ได้รับการทดลองว่าฆ่าวัชพืชอื่นๆ ได้ทุกชนิดโดยไม่รบกวนถั่วเหลือง แต่กลุ่มที่ต่อต้านพืช GMO กลับออกมาทำการทดลองโดยเอาสารที่อยู่ในยาฆ่าวัชพืชมาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ แล้วกล่าวว่านี่คือสารตกค้างที่จะอยู่ในถั่วเหลืองซึ่งทำให้เซลล์ในร่างกายมีอันเป็นไปต่างๆ นานา รวมไปถึงกระตุ้นให้เกิดมะเร็งด้วย
แต่ในความเป็นจริงนั้น สารตกค้างจากยาวัชพืชในถั่วเหลืองนั้นไม่ได้เข้มข้นเหมือนกที่กลุ่มนั้นนำมาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ดังนั้น ผลงานวิจัยจึงไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด และยังไม่มีการทดลองกับคนให้เห็นภาพจริงจังด้วย กล่าวโดยสรุปคือ ณ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันชัดเจนว่าสารตกค้างในถั่วเหลือง (โดยเฉพาะถั่วเหลืองที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม) จะทำให้เกิดมะเร็งได้จริงๆ
1.ข้อสงสัยที่ว่า ถั่วเหลืองและน้ำเต้าหู้ ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม
จากหลักฐานการทดลองที่พบในคนมีการสรุปว่า ถั่วเหลือง และเต้าหู้ ไม่ได้ทำให้คนเป็นมะเร็งเต้านมมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน คนที่รับประทานถั่วเหลืองมากๆ นั้นยิ่งมีโอกาสในการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน ขณะเดียวกัน ผลการทดลองกับผู้ป่วยที่เคยรับการรักษามะเร็งเต้านมจนหาย กลับพบว่ากลุ่มที่กินถั่วเหลืองเป็นประจำ (นมถั่วเหลือง 1 แก้วต่อวัน) มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมซ้ำน้อยกว่าอดีตผู้ป่วยที่ไม่ได้กินถั่วเหลือง แถมยังมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่าอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ถ้ากล่าวถึงหลักฐานในห้องทดลอง กลับพบทั้งในแง่ของไฟโตเอสจากถั่วเหลืองอาจกระตุ้นเซลล์มะเร็ง และอาจเป็นเสมือนยาต้านมะเร็งได้ จึงสรุปได้ว่าหากเป็นทดลองในห้องแล็บยังให้ผลขัดแย้งกันเองอยู่ ตราบใดที่การทดลองยังไม่ชัดเจนขอให้เชื่อผลการทดลองกับมนุษย์จะชัดเจนกว่า
2.สารเคมีที่ตกค้างในผลิตภัณฑ์ทำให้เป็นมะเร็ง
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อถั่วเหลืองเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีปลูกแบบตัดแต่งพันธุกรรม หรือ GMO โดยใช้ร่วมกับยาฆ่าวัชพืชที่ได้รับการทดลองว่าฆ่าวัชพืชอื่นๆ ได้ทุกชนิดโดยไม่รบกวนถั่วเหลือง แต่กลุ่มที่ต่อต้านพืช GMO กลับออกมาทำการทดลองโดยเอาสารที่อยู่ในยาฆ่าวัชพืชมาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ แล้วกล่าวว่านี่คือสารตกค้างที่จะอยู่ในถั่วเหลืองซึ่งทำให้เซลล์ในร่างกายมีอันเป็นไปต่างๆ นานา รวมไปถึงกระตุ้นให้เกิดมะเร็งด้วย
แต่ในความเป็นจริงนั้น สารตกค้างจากยาวัชพืชในถั่วเหลืองนั้นไม่ได้เข้มข้นเหมือนกที่กลุ่มนั้นนำมาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ดังนั้น ผลงานวิจัยจึงไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด และยังไม่มีการทดลองกับคนให้เห็นภาพจริงจังด้วย กล่าวโดยสรุปคือ ณ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันชัดเจนว่าสารตกค้างในถั่วเหลือง (โดยเฉพาะถั่วเหลืองที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม) จะทำให้เกิดมะเร็งได้จริงๆ