ถือเป็นความโศกเศร้าและเรื่องสะเทือนตกใจในกลุ่มหมู่นักวิ่งมาราทอนสำหรับข่าวการเสียชีวิตของนักกีฬาผู้เข้าร่วมการแข่งขันรายการมาราทอนถึง 2 ราย ก่อนที่จะบาดเจ็บในขั้นโคม่า 1 รายจากสาเหตุหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งแพทย์ได้ช่วยให้พ้นขีดอันตรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากสาเหตุหัวใจวาย

เหตุใดจึงเกิดสาเหตุหัวใจวายขึ้นทั้งๆ ที่สมรรถนะร่างกายของตัวนักกีฬาจัดอยู่ในระดับแข็งแรงฟิตซ้อมดูแลตัวเองแบบโปรเฟสชั่นนอลเป็นนักวิ่งแถมหน้ามากด้วยประสบการณ์ ไม่ใช่เพิ่งจะเทิร์นโปรกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันซ้อมอย่างหนักหน่วงจนเกินขีดจำกัดให้ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือเสียชีวิต
ซึ่งจากในเคสตัวอย่างล่าสุดของนักกีฬาผู้ประสบเหตุหมอโรคหัวใจค้นพบถึงสาเหตุที่หัวใจวาย เกิดจากหลอดเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบแคบหมดถึง 3 เส้น ซึ่งนับว่าพบได้ยากในขณะที่อาการกล้ามเนื้อหัวใจตีบเพียง 1-2 เส้น ก็นับว่าอันตรายถึงขั้นชีวิตในเปอร์เซ็นต์ที่สูง เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกตัดการเหนี่ยวนำคลื่นไฟฟ้าให้หัวใจทำงานเป็นปรกติก็ทำได้ยากขึ้นตามลำดับ ทว่า…ผู้ป่วยรายนี้สามารถรอดมาได้เนื่องจาก การทำการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (basic life support-BLS) อย่างถูกต้องทันท่วงที แต่ที่สำคัญพระเอกตัวช่วยเลยคือ “AED” ที่เข้ามารับหน้าที่กู้ชีวิต เนื่องจากการทำ CPR นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปฐมพยาบาลให้หัวใจทำงานต่อไป เปรียบเสมือนการส่งเลือดให้ไปเลี้ยงสมองและอวัยวะอื่นๆ ไม่ให้ตายหรือได้รับความเสี่ยงหาย ไม่ใช่การรักษาภาวะผิดปกติให้หัวใจที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการทำงานแก้ขัด ซึ่งในหลายๆ รายที่ปั๊มหัวใจแล้ว ผู้ป่วยแลดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง นั่นก็เพราะแรงกดหน้าอกของเราช่วยบีบเลือดพาไปถึงสมอง แต่เมื่อหยุดปั๊ม คนไข้ที่ยังคงไม่มีชีพจร ก็จะกลับไปนิ่ง หมดสติแบบเดิมได้อีกเช่นเดิม

แต่ AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจ เป็นการรักษาโดยตรงช่วยให้หัวใจดีขึ้นและกลับมาทำงานด้วยตัวเองและเก็บข้อมูลการเต้นของหัวใจและกระแสไฟฟ้าจากสมอง ตลอดจนการรักษาที่ได้ทำไปในรูปดิจิตอล ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปในการเยียวยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในขั้นตอนสุดถ้าที่ถึงมือแพทย์ โดยหลักการทำงานของเครื่องกระตุกหัวใจ AED ทำการรักษาโรคหัวใจวายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การหัวใจวายในบางโรคเกิดจากการลัดวงจรไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้การทำงานไม่สอดคล้องกัน จากที่ห้องหัวใจข้างบนบีบสูบฉีดเลือดไปเลี้ยง ห้องใจห้องล่างคลายตัวไม่สูบฉีด (เข้าบน-ออกล่าง) ก็อาจจะกลายเป็นหัวใจห้องล่างบีบแต่หัวใจห้องบนคลายหรือสั่งให้บีบทั้งห้องหัวใจทั้งบนและล่างจนปั๊มเลือดไม่ได้ AED ก็จะส่งสัญญาณไฟฟ้าให้กลับมาเป็นปกติเพื่อให้หัวใจทำงานเป็นระบบ
AED พัฒนาขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นเครื่องมือช่วยชีวิตผู้ที่ประสบสภาวการณ์ผิดปกติที่เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ (hear attack) ที่ง่ายและสะดวกแก่การใช้ โดยเมื่อเปิดสวิทซ์ AED จะให้คำสั่งเป็นภาษาทั้งเสียงและภาพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มจากให้เอาขั้วไฟฟ้าที่เป็นผ้านิ่มเชื่อมต่อเข้ากับคนป่วย เครื่องมือก็จะตรวจสถานะความเจ็บป่วยของคนไข้ ประเมินว่าสมควรได้รับการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าหรือไม่ หากต้องมีการกระตุ้น เครื่องจะเตือนให้ตรวจคนไข้ว่าไม่มีโลหะอยู่บนร่างกายและไม่มีใครแตะตัวคนป่วย จากนั้นเครื่องจะสั่งให้กดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าเครื่องก็จะประเมินว่าจำเป็นต้องใช้ CPR ประกอบหรือช็อตอีกครั้งหรือไม่
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างไรก็ตามเมื่อพบผู้ป่วยโรคหัวใจกำลังประสบเหตุ ให้รีบตามผู้มาช่วยเร็วจะได้ทำการกู้ชีพขั้นพื้นฐานพร้อมกับโทรแจ้ง 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ -สพฉ.เพื่อเริ่มปั๊มหัวใจเร็วจากเครื่องกระตุกหัวใจ AED ที่จะได้รักษาและบันทึกข้อมูลของสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ก่อนที่จะถึงมือแพทย์ทำการช่วยเหลือและรักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด โอกาสในการเสียชีวิตก็ยิ่งลดลงสูงมากขึ้น
เหตุใดจึงเกิดสาเหตุหัวใจวายขึ้นทั้งๆ ที่สมรรถนะร่างกายของตัวนักกีฬาจัดอยู่ในระดับแข็งแรงฟิตซ้อมดูแลตัวเองแบบโปรเฟสชั่นนอลเป็นนักวิ่งแถมหน้ามากด้วยประสบการณ์ ไม่ใช่เพิ่งจะเทิร์นโปรกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันซ้อมอย่างหนักหน่วงจนเกินขีดจำกัดให้ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือเสียชีวิต
ซึ่งจากในเคสตัวอย่างล่าสุดของนักกีฬาผู้ประสบเหตุหมอโรคหัวใจค้นพบถึงสาเหตุที่หัวใจวาย เกิดจากหลอดเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบแคบหมดถึง 3 เส้น ซึ่งนับว่าพบได้ยากในขณะที่อาการกล้ามเนื้อหัวใจตีบเพียง 1-2 เส้น ก็นับว่าอันตรายถึงขั้นชีวิตในเปอร์เซ็นต์ที่สูง เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจถูกตัดการเหนี่ยวนำคลื่นไฟฟ้าให้หัวใจทำงานเป็นปรกติก็ทำได้ยากขึ้นตามลำดับ ทว่า…ผู้ป่วยรายนี้สามารถรอดมาได้เนื่องจาก การทำการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (basic life support-BLS) อย่างถูกต้องทันท่วงที แต่ที่สำคัญพระเอกตัวช่วยเลยคือ “AED” ที่เข้ามารับหน้าที่กู้ชีวิต เนื่องจากการทำ CPR นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการปฐมพยาบาลให้หัวใจทำงานต่อไป เปรียบเสมือนการส่งเลือดให้ไปเลี้ยงสมองและอวัยวะอื่นๆ ไม่ให้ตายหรือได้รับความเสี่ยงหาย ไม่ใช่การรักษาภาวะผิดปกติให้หัวใจที่ต้นเหตุ เป็นเพียงการทำงานแก้ขัด ซึ่งในหลายๆ รายที่ปั๊มหัวใจแล้ว ผู้ป่วยแลดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้าง นั่นก็เพราะแรงกดหน้าอกของเราช่วยบีบเลือดพาไปถึงสมอง แต่เมื่อหยุดปั๊ม คนไข้ที่ยังคงไม่มีชีพจร ก็จะกลับไปนิ่ง หมดสติแบบเดิมได้อีกเช่นเดิม
แต่ AED หรือเครื่องกระตุกหัวใจ เป็นการรักษาโดยตรงช่วยให้หัวใจดีขึ้นและกลับมาทำงานด้วยตัวเองและเก็บข้อมูลการเต้นของหัวใจและกระแสไฟฟ้าจากสมอง ตลอดจนการรักษาที่ได้ทำไปในรูปดิจิตอล ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปในการเยียวยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในขั้นตอนสุดถ้าที่ถึงมือแพทย์ โดยหลักการทำงานของเครื่องกระตุกหัวใจ AED ทำการรักษาโรคหัวใจวายอย่างไม่ทราบสาเหตุ การหัวใจวายในบางโรคเกิดจากการลัดวงจรไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้การทำงานไม่สอดคล้องกัน จากที่ห้องหัวใจข้างบนบีบสูบฉีดเลือดไปเลี้ยง ห้องใจห้องล่างคลายตัวไม่สูบฉีด (เข้าบน-ออกล่าง) ก็อาจจะกลายเป็นหัวใจห้องล่างบีบแต่หัวใจห้องบนคลายหรือสั่งให้บีบทั้งห้องหัวใจทั้งบนและล่างจนปั๊มเลือดไม่ได้ AED ก็จะส่งสัญญาณไฟฟ้าให้กลับมาเป็นปกติเพื่อให้หัวใจทำงานเป็นระบบ
AED พัฒนาขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นเครื่องมือช่วยชีวิตผู้ที่ประสบสภาวการณ์ผิดปกติที่เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ (hear attack) ที่ง่ายและสะดวกแก่การใช้ โดยเมื่อเปิดสวิทซ์ AED จะให้คำสั่งเป็นภาษาทั้งเสียงและภาพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มจากให้เอาขั้วไฟฟ้าที่เป็นผ้านิ่มเชื่อมต่อเข้ากับคนป่วย เครื่องมือก็จะตรวจสถานะความเจ็บป่วยของคนไข้ ประเมินว่าสมควรได้รับการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าหรือไม่ หากต้องมีการกระตุ้น เครื่องจะเตือนให้ตรวจคนไข้ว่าไม่มีโลหะอยู่บนร่างกายและไม่มีใครแตะตัวคนป่วย จากนั้นเครื่องจะสั่งให้กดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าเครื่องก็จะประเมินว่าจำเป็นต้องใช้ CPR ประกอบหรือช็อตอีกครั้งหรือไม่
ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างไรก็ตามเมื่อพบผู้ป่วยโรคหัวใจกำลังประสบเหตุ ให้รีบตามผู้มาช่วยเร็วจะได้ทำการกู้ชีพขั้นพื้นฐานพร้อมกับโทรแจ้ง 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ -สพฉ.เพื่อเริ่มปั๊มหัวใจเร็วจากเครื่องกระตุกหัวใจ AED ที่จะได้รักษาและบันทึกข้อมูลของสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ก่อนที่จะถึงมือแพทย์ทำการช่วยเหลือและรักษาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด โอกาสในการเสียชีวิตก็ยิ่งลดลงสูงมากขึ้น