xs
xsm
sm
md
lg

มะเดื่อฝรั่ง ผลไม้แปลก โภชนาการสูงอันดับ 1 ใน 10 ของโลก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

มะเดื่อฝรั่ง (Common fig) มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก และประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรป และแอฟริกาเหนือ แต่ในปัจจุบันมะเดื่อฝรั่งมีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง

มะเดื่อเป็นผลไม้ต่างถิ่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก โดยมะเดื่อฝรั่งแบบตากแห้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 249 กิโลแคลอรี อีกทั้งยังอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน มีไขมันต่ำ มีเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้แล้วยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายหลากหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม สังกะสี เหล็ก และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ นอกจากจะใช้รับประทานเป็นผลไม้สดแล้วยังสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นแยม ผลไม้อบแห้ง ผลไม้กวน ฯลฯ ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของ “มะเดื่อฝรั่ง”

1.ต้านอนุมูลอิสระ

ในมะเดื่อฝรั่งอุดมไปด้วยสารพอลีฟีนอล (Polyphenols) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่ล้วนเป็นสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ โดยสารเหล่านี้จะทำลายโมเลกุลหรือเซลล์ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลดีต่อสุขภาพ และอาจช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ โรคอัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม หรือโรคข้ออักเสบได้อีกด้วย


2.ช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

เพราะเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายและกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย จากการศึกษาพบว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ส่งผลให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น และบรรเทาอาการแน่นท้อง จึงเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการท้องผูก

3.เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนัก

เพราะมีเส้นใยสูงถึง 9.8 กรัม ซึ่งเส้นใยอาหารจะช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้นและดีต่อสุขภาพหลายอย่าง

4.เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

มะเดื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลินในผู้ป่วยเบาหวาน และใบมะเดื่อฝรั่งประกอบไปด้วยสารเคมีที่อาจช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการศึกษาในด้านดังกล่าว นักวิจัยแนะนำว่าการดื่มชาจากใบมะเดื่อฝรั่งอาจช่วยลดปริมาณการใช้อินซูลิน และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ได้

อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้างต้นให้ผู้ที่เข้าร่วมการทดลองรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานและยังคงได้รับอินซูลินเป็นประจำทุกวัน ดังนั้น ประสิทธิภาพการลดระดับน้ำตาลในเลือดของใบมะเดื่อฝรั่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพดังกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

การบริโภค มะเดื่อฝรั่ง มีข้อควรระวัง ดังนี้

1.ควรรับประทานแต่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้

2.ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเฝ้าระวังและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ เนื่องจากการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้

3.ผู้ที่แพ้ผลไม้ในวงศ์ขนุน (Moraceae) เช่น ขนุน หรือน้อยหน่า อาจแพ้มะเดื่อฝรั่งด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ ในประเทศไทยได้มีการนำเข้ามะเดื่อแห้งจากต่างประเทศ และมีการทดลองปลูกครั้งแรกที่ดอยอ่างขางเมื่อ พ.ศ. 2524 โดยมูลนิธิโครงการหลวง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และในประเทศไทยมักจะนิยมปลูกมะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์ญี่ปุ่น เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรานั่นเอง
ข้อมูลประกอบ :
medthai.com
www.pobpad.com



กำลังโหลดความคิดเห็น