เรียกได้ว่าเป็นท่านั่งยอดฮิตของน้องๆ หนูๆ บุตรหลานวัย 2-6 ขวบ ที่มักนิยมนั่งเนื่องจากเป็นท่าที่นั่งสบาย สะดวกต่อการละเล่นในรูปแบบต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานาน ทว่าส่งผลต่อระบบการเจริญเติบโตของกระดูกขาที่บิดผิดรูปส่งผลต่อการเดินในอนาคต
โดยจากการแนะนำของ “คุณหมออรเพจเฟซบุ๊กเลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ" ได้ให้ความรู้เตือนภัยในเรื่อง ท่านั่ง W ในอันตรายเรื่องนี้สังเกตได้จาก 2 รูปแบบ
1.เวลาเดินปลายเท้าจะบิดเข้าข้างในแทนที่จะชี้ตรงไปข้างหน้า
2.เดินแล้วเท้าปัดไปปัดมาชนกัน ส่งผลให้เด็กหกล้มบ่อยๆ
ซึ่งท่านั่ง W หรือท่าที่เด็กนั่งกับพื้นแล้วแบะขาออกสองข้าง โดยสะโพกอยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสอง เป็นท่าที่เด็กๆ ชอบนั่งโดยเฉพาะช่วงวัยอนุบาล (2-6 ขวบ) การปล่อยให้ลูกนั่งท่า W บ่อยๆ จะส่งผลทำให้กระดูกต้นขาบิดเข้าข้างใน กระทบต่อการเดิน เรียกว่า In-toeing gait นั้นเอง
โดยทั้งนี้ทั้งนั้นท่านั่งที่เหมาะสม คือ นั่งแบบเหยียดขาตรงไปด้านหน้าหรือนั่งขัดสมาธิ ซึ่งแรกๆ บุตรหลานลูกน้อยอาจจะไม่ชิน แต่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองควรหมั่นทำเป็นประจำ เพราะท่านั่ง 2 ลักษณะนี้ยังช่วยในเรื่องของการจัดระบบกระดูกสันหลังเป็นการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยจากการแนะนำของ “คุณหมออรเพจเฟซบุ๊กเลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ" ได้ให้ความรู้เตือนภัยในเรื่อง ท่านั่ง W ในอันตรายเรื่องนี้สังเกตได้จาก 2 รูปแบบ
1.เวลาเดินปลายเท้าจะบิดเข้าข้างในแทนที่จะชี้ตรงไปข้างหน้า
2.เดินแล้วเท้าปัดไปปัดมาชนกัน ส่งผลให้เด็กหกล้มบ่อยๆ
ซึ่งท่านั่ง W หรือท่าที่เด็กนั่งกับพื้นแล้วแบะขาออกสองข้าง โดยสะโพกอยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสอง เป็นท่าที่เด็กๆ ชอบนั่งโดยเฉพาะช่วงวัยอนุบาล (2-6 ขวบ) การปล่อยให้ลูกนั่งท่า W บ่อยๆ จะส่งผลทำให้กระดูกต้นขาบิดเข้าข้างใน กระทบต่อการเดิน เรียกว่า In-toeing gait นั้นเอง
โดยทั้งนี้ทั้งนั้นท่านั่งที่เหมาะสม คือ นั่งแบบเหยียดขาตรงไปด้านหน้าหรือนั่งขัดสมาธิ ซึ่งแรกๆ บุตรหลานลูกน้อยอาจจะไม่ชิน แต่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองควรหมั่นทำเป็นประจำ เพราะท่านั่ง 2 ลักษณะนี้ยังช่วยในเรื่องของการจัดระบบกระดูกสันหลังเป็นการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
