รู้หรือไม่ว่า “น้ำตาล” ที่อยู่ในอาหารร้ายกว่าที่คิด เพราะหากกินเข้าไปมากๆ จะทำให้เผชิญกับโรคร้ายได้เป็น 10 โรค!! ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ภาวะอ้วนลงพุง ภาวะไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเกาต์ กรดยูริคในเลือดสูง ฟันผุ ไปจนถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ และหลอดเลือดทั้งหมด แถมยังส่งผลเสียต่อผิวพรรณ ทำให้คุณหน้าแก่ และดูแก่ก่อนวัยอีกด้วย
ทำไมความหวานถึงเสี่ยงหน้าแก่?
ทั้งนี้เพราะเนื่องมาจาก…หากร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า ไกลเคชั่น (Glycation) เป็นปฏิกิริยาที่โมเลกุลของน้ำตาลเข้าไปเกาะที่ดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมทำให้ “แก่ระดับเซลล์” เพราะโมเลกุลของน้ำตาลส่วนเกินที่เราได้รับนั้นจะไปรวมกับโปรตีนส่งผลให้เกิดสารประกอบตัวใหม่ที่มีความแข็งยืดหยุ่นน้อยและแตกเปราะได้ง่าย ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพ สูญเสียคอลลาเจน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ผิวหนังได้ง่ายเนื่องจากผิวไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม จึงส่งผลทำให้หน้าไม่เด้ง หน้าแก่ รวมไปถึงทำให้ข้อต่อแข็ง เป็นสาเหตุทำให้แก่ก่อนวัย ดังนั้นถ้าไม่อยากแก่เร็วควรลดน้ำตาลลงจะดีกว่า
แล้วทานหวานอย่างไรให้ห่างไกลโรค?
1. อ่านฉลากโภชนาการโดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลทรายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะเนื่องจากอาหารผ่านกระบวนการผลิตล้วนใส่น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานและเครื่องดื่มสำเร็จรูปต่างๆ
2. หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารนอกบ้านต้องไม่ปรุงเพิ่ม เช่น ไม่เติมน้ำตาลลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
3.นอกจากอาหารแล้ว หากต้องดื่มเครื่องดื่มนอกบ้าน ควรสั่งให้ลดปริมาณน้ำตาล และหันมาเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีการใส่น้ำตาลต่ำแทน แต่ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม นมข้นหวานไปเลยจะดีกว่า หรืออาจจะหันมาใช้สารทดแทนความหวานเติมลงในเครื่องดื่มได้บ้าง เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำตาล และพลังงานที่ได้รับจากเครื่องดื่ม
4. หลีกเลี่ยงการทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด หรือมีปริมาณของแป้งมาก เช่น ทุเรียน ลำไย มะม่วงสุก เป็นต้น และหันมาเลือกทานผักผลไม้รสไม่หวานจัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
5. ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 3-6 ช้อนชาต่อวัน โดยองค์การอนามัยโลกรับรองไว้ว่าไม่ควรทานน้ำตาลทรายเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน
ทำไมความหวานถึงเสี่ยงหน้าแก่?
ทั้งนี้เพราะเนื่องมาจาก…หากร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า ไกลเคชั่น (Glycation) เป็นปฏิกิริยาที่โมเลกุลของน้ำตาลเข้าไปเกาะที่ดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมทำให้ “แก่ระดับเซลล์” เพราะโมเลกุลของน้ำตาลส่วนเกินที่เราได้รับนั้นจะไปรวมกับโปรตีนส่งผลให้เกิดสารประกอบตัวใหม่ที่มีความแข็งยืดหยุ่นน้อยและแตกเปราะได้ง่าย ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพ สูญเสียคอลลาเจน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ผิวหนังได้ง่ายเนื่องจากผิวไม่สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนเดิม จึงส่งผลทำให้หน้าไม่เด้ง หน้าแก่ รวมไปถึงทำให้ข้อต่อแข็ง เป็นสาเหตุทำให้แก่ก่อนวัย ดังนั้นถ้าไม่อยากแก่เร็วควรลดน้ำตาลลงจะดีกว่า
แล้วทานหวานอย่างไรให้ห่างไกลโรค?
1. อ่านฉลากโภชนาการโดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาลทรายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะเนื่องจากอาหารผ่านกระบวนการผลิตล้วนใส่น้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานและเครื่องดื่มสำเร็จรูปต่างๆ
2. หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารนอกบ้านต้องไม่ปรุงเพิ่ม เช่น ไม่เติมน้ำตาลลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น
3.นอกจากอาหารแล้ว หากต้องดื่มเครื่องดื่มนอกบ้าน ควรสั่งให้ลดปริมาณน้ำตาล และหันมาเลือกดื่มเครื่องดื่มที่มีการใส่น้ำตาลต่ำแทน แต่ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม นมข้นหวานไปเลยจะดีกว่า หรืออาจจะหันมาใช้สารทดแทนความหวานเติมลงในเครื่องดื่มได้บ้าง เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำตาล และพลังงานที่ได้รับจากเครื่องดื่ม
4. หลีกเลี่ยงการทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด หรือมีปริมาณของแป้งมาก เช่น ทุเรียน ลำไย มะม่วงสุก เป็นต้น และหันมาเลือกทานผักผลไม้รสไม่หวานจัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
5. ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกิน 3-6 ช้อนชาต่อวัน โดยองค์การอนามัยโลกรับรองไว้ว่าไม่ควรทานน้ำตาลทรายเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน