อัลมอนด์ 1 ใน 10 ของสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพโดย 1 เม็ด ให้พลังงาน 7 กิโลแคลอรี่ อีกทั้งอุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย และวิตามินแร่ธาตุต่างๆ จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับแอพริค็อท ลูกพีช ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมาจากชาวตุรกี ต่อมาชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบ จึงทำให้อัลมอนด์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายไปจนถึงทวีปอเมริการวมไปถึงทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
9 ประโยชน์ดีๆ จากอัลมอนด์
1.มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งอัลมอนด์100 กรัมมีไขมันมากถึง 49.42 กรัม มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL หรือไขมันชนิดดี และช่วยลดระดับ LDL หรือไขมันชนิดเลว ซึ่งกรดไขมันเหล่านั้นจะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ เนื่องจากมีผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ที่มีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ ก็ได้บทสรุปออกมาในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้นจะช่วยให้ระดับ LDL ลดลง ในขณะที่ระดับ HDL เพิ่มขึ้นแทน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี โดยกำหนดให้ 6 เดือนแรกรับประทานอาหารตามปกติ ส่วน 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารในปริมาณประมาณ 52 กรัมต่อวัน ผลทดสอบพบว่า กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้มีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น ส่วนกรดไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง
2. มีงานวิจัยจากสถาบันชั้นนำในอเมริกาและยุโรปพบว่า การรับประทานอัลมอนด์วันละ 1 หยิบมือจะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 4.4% แต่ถ้ารับประทานวันละ 2 หยิบมือก็จะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ 9.4%
3.มีรายงานการวิจัยว่าการรับประทานอัลมอนด์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้มากถึง 50%
4.อัลมอนด์ยังเป็นแหล่งโปรตีนจากพืช มีวิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า 3 และมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
5.สามารถช่วยลดน้ำหนักและความอ้วนได้ หากรับประทานในปริมาณเหมาะสมและสม่ำเสมอ โดยมีงานวิจัยจากการศึกษาของ International Journal of Obesity พบว่าผู้ที่รับประทานอัลมอนด์วันละ 70 เมล็ด อัลมอนด์จะช่วยลดรอบเอวได้ถึง 7 นิ้ว ซึ่งมากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 2 นิ้ว เพราะว่าการรับประทานอัลมอนด์จะช่วยลดการทานจุบจิบหรือขนมขบเคี้ยวได้นั่นเอง
6. จากงานวิจัย (บทความจาก WHFoods) ระบุว่า ผู้ที่รับประทานถั่วหรืออัลมอนด์เป็นประจำ จะมีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้ที่ไม่เคยรับประทาน โดยผู้ที่รับประทานถั่วอัลมอนด์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ร้อยละ 31% พบว่ามีน้ำหนักตัวที่ลดลง ถึงแม้ว่าถั่วอัลมอนด์จะมีไขมันที่สูงมากก็ตาม
7. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ถึง 30-50% เพราะช่วยในการหลั่งอินซูลินหลังอาหาร ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นถูกดูดซึมเก็บไว้ที่ตับและเนื้อเยื่ออื่น ๆ จึงมีผลทำให้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
8.อัลมอนด์มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกายและช่วยลดความดันเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงได้
9.อัลมอนด์ช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารว่างแทนขนมหรือของจุบจิบ ซึ่งอัลมอนด์จะมีใยอาหารที่อุ้มน้ำได้เยอะ ทำให้รู้สึกอิ่ม อีกทั้งเส้นใยอาหารในอัลมอนด์สามารถช่วยทำให้ระบบลำไส้ทำงานเป็นปกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก และลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้
หมายเหตุ ในอัลมอนด์ยังมีสารออกซาเลต (Oxalates) หากรับประทานมากเกินไปอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคถุงน้ำดี ดังนั้นควรเลือกรับประทานแบบชนิดที่ไม่ผสมเกลือจะดีกว่าและต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่เกินวันละ 1 กำมือ (30 กรัม)
ข้อมูลประกอบบางส่วนจาก medthai.com
9 ประโยชน์ดีๆ จากอัลมอนด์
1.มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งอัลมอนด์100 กรัมมีไขมันมากถึง 49.42 กรัม มีทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL หรือไขมันชนิดดี และช่วยลดระดับ LDL หรือไขมันชนิดเลว ซึ่งกรดไขมันเหล่านั้นจะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ เนื่องจากมีผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ที่มีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ ก็ได้บทสรุปออกมาในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ กลุ่มตัวอย่างที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้นจะช่วยให้ระดับ LDL ลดลง ในขณะที่ระดับ HDL เพิ่มขึ้นแทน นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี โดยกำหนดให้ 6 เดือนแรกรับประทานอาหารตามปกติ ส่วน 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารในปริมาณประมาณ 52 กรัมต่อวัน ผลทดสอบพบว่า กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้มีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น ส่วนกรดไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง
2. มีงานวิจัยจากสถาบันชั้นนำในอเมริกาและยุโรปพบว่า การรับประทานอัลมอนด์วันละ 1 หยิบมือจะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ถึง 4.4% แต่ถ้ารับประทานวันละ 2 หยิบมือก็จะช่วยลดระดับไขมันเลวได้ 9.4%
3.มีรายงานการวิจัยว่าการรับประทานอัลมอนด์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้มากถึง 50%
4.อัลมอนด์ยังเป็นแหล่งโปรตีนจากพืช มีวิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า 3 และมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
5.สามารถช่วยลดน้ำหนักและความอ้วนได้ หากรับประทานในปริมาณเหมาะสมและสม่ำเสมอ โดยมีงานวิจัยจากการศึกษาของ International Journal of Obesity พบว่าผู้ที่รับประทานอัลมอนด์วันละ 70 เมล็ด อัลมอนด์จะช่วยลดรอบเอวได้ถึง 7 นิ้ว ซึ่งมากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 2 นิ้ว เพราะว่าการรับประทานอัลมอนด์จะช่วยลดการทานจุบจิบหรือขนมขบเคี้ยวได้นั่นเอง
6. จากงานวิจัย (บทความจาก WHFoods) ระบุว่า ผู้ที่รับประทานถั่วหรืออัลมอนด์เป็นประจำ จะมีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้ที่ไม่เคยรับประทาน โดยผู้ที่รับประทานถั่วอัลมอนด์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ร้อยละ 31% พบว่ามีน้ำหนักตัวที่ลดลง ถึงแม้ว่าถั่วอัลมอนด์จะมีไขมันที่สูงมากก็ตาม
7. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ถึง 30-50% เพราะช่วยในการหลั่งอินซูลินหลังอาหาร ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นถูกดูดซึมเก็บไว้ที่ตับและเนื้อเยื่ออื่น ๆ จึงมีผลทำให้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
8.อัลมอนด์มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกายและช่วยลดความดันเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงได้
9.อัลมอนด์ช่วยในการลดน้ำหนักได้ โดยรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารว่างแทนขนมหรือของจุบจิบ ซึ่งอัลมอนด์จะมีใยอาหารที่อุ้มน้ำได้เยอะ ทำให้รู้สึกอิ่ม อีกทั้งเส้นใยอาหารในอัลมอนด์สามารถช่วยทำให้ระบบลำไส้ทำงานเป็นปกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก และลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ได้
หมายเหตุ ในอัลมอนด์ยังมีสารออกซาเลต (Oxalates) หากรับประทานมากเกินไปอาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วยโรคไตและโรคถุงน้ำดี ดังนั้นควรเลือกรับประทานแบบชนิดที่ไม่ผสมเกลือจะดีกว่าและต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมไม่เกินวันละ 1 กำมือ (30 กรัม)
ข้อมูลประกอบบางส่วนจาก medthai.com