xs
xsm
sm
md
lg

หมวดวิทย์ “กล้ามกรรมกร” แนะเคล็ดลับสร้างหุ่นฟิตเฟิร์ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงสมชายชาติทหารผู้นี้ ก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาในก่อนหน้านี้ ที่มีทั้งความอ้วน เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ถูกล้อเลียน และมีความไม่มั่นใจในตนเองมาก่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า ทุกอย่างแห่งความพ่ายแพ้นั้น ชายคนนี้ก็เคยประสบมาครบถ้วนอย่างสมบูรณ์แบบมาแล้ว

จนเมื่อความฝันในการเป็นทหารของเขาบังเกิดขึ้น เขาก็พร้อมและยอมรับความเปลี่ยนแปลงให้กับตนเองอย่างไมมีข้อโจ้แย้ง จนเริ่มที่จะทำมันตามครรลอง จนกระทั่งเวลาผ่านไป เขาผู้นี้ก็ได้แปรสภาพจากที่ว่ามาทั้งหมดนั้น กลายมาเป็น นักกีฬาหนุ่มประจำโรงเรียน ไปจนถึง การได้เป็นหนึ่งของนักเรียนนายร้อย จนสามารถที่จะนำดาวมาประดับยศให้กับตนเองได้ในเวลาต่อมา

มาจนวันนี้ “ร้อยโทวรวิทย์ ทรัพย์เจริญ” หรือ ‘หมวดวิทย์’ ผู้บังคับชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดควบคุมที่ 543 ประจำจังหวัดนราธิวาส และ เจ้าของแฟนเพจที่มีนามว่า ‘กล้ามกรรมกร-Labour Workout’ ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่กำลังจะเริ่มไปจนถึงผู้ที่ออกกำลังกาย โดยการประยุกต์ใช้สิ่งของรอบตัวมาเป็นแรงผลักดันให้ได้ออกกำลัง เฉกเช่นเดียวกับ การออกกำลังกายทั่วไป โดยมีคำนิยามของการออกกำลังกายนี้ว่า ‘การออกกำลังกายแบบทางสายกลาง และไม่จำเป็นที่จะต้องพี่งพาอุปกรณ์ทั่วไปตามที่เข้าใจก็ได้’

• ในส่วนตัวของหมวดเอง คุณเริ่มที่จะมาจริงจังในการออกกำลังกายตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมเริ่มจริงจังก็ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนเตรียมทหาร คือพอเราได้มาตรงนี้ ก็ฝึกค่อนข้างหนัก ใช้ร่างกายเยอะ แล้วจะต้องมีการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายอยู่แล้ว ซึ่งเราก็จะมีความอ่อนแอหรือเป็นตัวถ่วงของคนอื่นก็ไม่ได้ ใช่มั้ยครับ เราก็ต้องมีการผลักดันตัวเองก่อน ก็คิดว่า มีความแข็งแรงเท่าไหร่ก็ไม่พอ การเป็นทหารยิ่งมีมากยิ่งดี คือการที่เรามีของเราในระดับหนึ่ง ก็สามารถไปได้ใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเรายิ่งมีมาก เราช่วยคนอื่นได้ด้วย เราช่วยพาคนที่เขาไม่ไหว ไปกับเราได้ด้วย ทั้งในชีวิตจริง ในการฝึก และก็การทำงาน สรุปคือ ความแข็งแรงของเราก็ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ในหลายๆ ครั้ง

พูดง่ายๆ คือ การที่เตรียมความพร้อมที่จะเป็นนักเรียนนายร้อย ก็เหมือนกับเตรียมตัวออกกำลังกายไปในตัวด้วย มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตด้วยครับ เพราะว่าในนักเรียนนายร้อย มันก็มีการฝึกหนัก โดนทำโทษหนัก แล้วเราต้องสามารถอยู่กับมันให้ได้ครับ และไม่เป็นจุดอ่อนของเพื่อน คือเราอยู่ส่วนรวมกับคนอื่น ถ้าเราทำไม่ได้ อยู่คนเดียวเนี่ย ก็จะทำให้ส่วนรวมเขาเสียหมด

• แสดงว่าในก่อนหน้านี้ คุณก็เตรียมความพร้อมตลอดเวลาอยู่แล้ว

ใช่ครับ เราก็มีการเตรียมความพร้อมตลอดเวลา ในช่วงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือในช่วงมัธยม ม.ปลาย เราเป็นคนอ้วน แล้วมีโรคหอบ แล้วถ้าเราคิดว่าเรามีเป้าหมายที่อยากจะเป็นทหารแล้ว เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากที่จะต้องลดน้ำหนักแล้วเนี่ย เราต้องแข็งแรงด้วย เพื่อตอนสอบเข้า มันจะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ก็ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างเลย เปลี่ยนตารางชีวิตใหม่ เช่น ตื่นเช้า กินอาหารที่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้เราจะติดน้ำอัดลม ของหวาน เบเกอรี่ หรือ เค้ก แต่พอเปลี่ยนแปลงนี่คือไม่เอาแล้ว ซึ่งพอเราทำจนเป็นนิสัยเนี่ย เราจะไม่อยากไปเอง แล้วก็จัดตารางให้ดี แล้วก็มีวินัยให้ตัวเอง อีกอย่างไม่มีใครมาบอกเรา เพราะว่า พ่อกับแม่ก็ทำงานของเขาไป เราต้องดูแลตัวเอง และอีกอย่าง เรามีเป้าหมายชัดเจนว่า ‘ผมจะเป็นทหาร’ ซึ่งใช้เวลา 1 ปี เรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้ครับ

ซึ่งในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ต้องเรียกว่าปล่อยตัวมากกว่า เพราะว่าเรามีความเป็นเด็กอ้วนมาตั้งแต่เด็กเลยครับ คือหลังจากหย่านมแม่ เราก็อ้วนมาโดยตลอด ผมชอบกินมันหมู หนังไก่ ทุเรียน เค้ก และของทอดทุกอย่างผมชอบหมด ถึงขนาดที่ว่า ผมสามารถคลุกข้าวกับมันหมูแล้วกินได้เลย แถมตอนเด็กเราอยู่กับยายด้วย ยายก็ตามใจเรา จำได้ว่า ตอนผมอยู่ ป.1 ผมหนักประมาณ 80 กิโลกรัม แถมร่างกายก็ไม่ได้ ปวดเข่า ปวดขา ปวดทุกอย่าง และหอบด้วย วิ่งก็ไม่ได้ เดินอย่างเดียว สภาพร่างกายผมคือยับเยินเลย แถมเป็นตัวตลกให้กับคนอื่น โดนแกล้ง ล้อเลียน แต่พอเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรากลายเป็นนักกีฬาโรงเรียนเลย เป็นนักกรีฑา พุ่งแหลน ขว้างจักร คือทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองหมดเลย

• พูดในแง่หนึ่งก็เท่ากับว่า คุณก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสิ้นเชิง

มีวินัยครับ เพราะว่านอกจากในเรื่องร่างกายแล้ว ก็มาอ่านหนังสือสอบด้วยครับ และหนังสือเรียนที่โรงเรียนก็ยังอ่านอยู่ การบ้านที่โรงเรียนก็ทำอยู่ คือเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ต้องจัดการตัวเองน่ะครับ สมัยก่อนเนี่ย ไม่มีอะไรเหมือนปัจจุบันนี้ กูเกิลคืออะไรผมยังไม่รู้เลย ทำด้วยตัวเองหมด จนวันหนึ่งที่สื่อออนไลน์เริ่มเข้ามา เรื่องราวของเราจึงถูกเผยแพร่ออกไป ซึ่งจริงๆ เราทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าสื่ออนไลน์มันยังไม่เข้ามาครับ อินเตอร์เน็ทยังต้องมาใช้ของโรงเรียนเลย อยู่ในห้องสมุดอย่างงี้ คือผมต้องไปยืนอ่านหนังสือฟรีตามร้านต่างๆ เลย ในตอนรอรถจะกลับบ้าน แล้วเวลาที่ผมเจออะไร ผมจะจดๆ ซึ่งสมัยก่อนกล้องมือถือมันก็ไม่มีไง ก็ต้องอาศัยจด อาจจะมีห้องสมุดประชาชน พอช่วยได้บ้าง เวลาจะทำอะไรก็ไปถ่ายเอกสารแล้วกลับบ้าน คือมันไม่ค่อยมีสื่อแบบไหนปัจจุบันด้วย

แล้วแต่ก่อนหนังสือเกี่ยวกับออกกำลังกายก็น้อยมาก อาจจะมีแบบภาษาอังกฤษบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มันเป็นตำราเพาะกาย แต่เราก็ไม่ขนาดนั้น เราอยากจะแข็งแรงเฉยๆ สุดท้าย back to basic เลย ไม่ต้องมีตารางอะไร ไม่ต้องมีท่านั้นท่านี้ ทำแบบโง่ๆ เลยครับ ดันพื้นง่ายๆ ชั่วโมง 2 ชั่วโมงดันไป 400-500 ครั้ง พรุ่งนี้ซิทอัพ คือ ทำอะไรก็ทำเลยครับ แต่ถ้าวันไหนเรามังานต้องทำ แล้วเราทำหน้าทำสวน หาบน้ำ ไปรดต้นไม้ ชั่วโมง 2 ชั่วโมง แข็งแรงเลย แต่สู้การเล่นเวทไม่ได้หรอก คือเราไม่ได้เป็นประเภทบิลด์ร่างกาย แต่เราใช้หนัก

• แน่นอนว่า มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่ออกกำลังกายแบบผิดๆ เหมือนกัน อยากให้หมวดช่วยเล่าตรงนี้หน่อย

คือมันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียวครับ แต่เราจะยึดติดกับตารางมากกว่า ไปกำหนดตัวเองว่า วันนี้ต้องเล่นอกนะ ถ้าพรุ่งนี้เล่นอกซ้ำมันจะไม่ขึ้น พรุ่งนี้ต้องเล่นหลังนะ แต่พออยู่ในชีวิตจริง มันก็ติดงาน เลิกเรียนช้า เลิกงานช้า เราจะไม่มีเวลาที่จะมาทำตามตารางแล้ว มันก็ทำให้เลื่อนไปเรื่อย จนทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะเล่น เราก็ไม่อยากเล่นแล้ว ก็ทำให้ตารางปั่นป่วนไป แล้วพอเลิกงานก็เลิกเล่นเลย เลิกเพราะหงุดหงิด ทำตามตารางไว้ไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ว่า เราต้องปรับตารางเข้ากับชีวิตเรา ไม่ใช่เอาชีวิตเราไปยัดใส่ตาราง นี่คือผมค้นพบแล้วว่า เราจะทำแบบนี้ ซึ่งในตอนแรกสุด มันไม่มีสถานที่ฟิตเนส ไม่มีสถานที่การออกกำลัง ผมก็ไม่ออก กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยว ปล่อยตัวไป จนกลายเป็นทำร้ายตัวเอง ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีแบบโง่ๆ ดู

อย่างที่ผมบอก ว่างเมื่อไหร่ทำ ไม่ว่างก็ไม่ทำ แต่พอมาคิดดูแล้ว เรามีเวลาว่างทุกคน ไม่มีใครที่ไม่มีเวลา สมมุติว่า ออกจากบ้าน 7 โมงครึ่ง ตื่นมา 7 โมง 15 นาที มีเวลาว่างอีก 15 นาที ทำอะไรดี 5 นาที ทำอะไร ดันพื้นได้ 200 ครั้ง หรือวิ่งขึ้นลงบันไดบ้าน ถ้าจะทำนะ แล้วอีก 10 นาที อาบน้ำแต่งตัว แล้วไปทำงาน นี่คือชีวิต นี่คือสิ่งที่ทำได้จริง พอมาช่วงเย็น จะมาวิ่งลู่วิ่งไฟฟ้าทำไงดี เลิกงานก็ช้า รถก็ติด ไม่ถึงบ้านซักที ลองเดินกลับบ้าน ไม่ต้องนั่งรถเลย แทนที่จะวิ่งที่ลู่วิ่ง เหนื่อยเหมือนกัน ใช้พลังงานเท่ากัน จะมาต่อคิวเล่นฟิสเนส มันเหมือนมาจำกัดตัวเองมากกว่า เอาตัวเองมาใส่สำเร็จรูป ผมว่ามันทำไม่ได้ตลอด มันไม่ยั่งยืน ซักวันหนึ่งเราจะเบื่อ จะมีใครมั้ยมาทานอาหารคลีนได้ทุกวัน แล้วมันมีข้อจำกัดเยอะ

คือถ้ามาถามผมที่อยู่กับคนหมู่มาก เช่นอยู่กับลูกน้อง เวลามันทำอะไรมาเราก็ต้องกิน จะมาบอกว่า กูกินไม่ได้ว่ะ เขาทำอะไรมาก็ต้องกินได้ เราไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ควบคุมทุกอย่างได้สิ่งแวดล้อมมันควบคุมเรา แต่เราต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้าเรารู้ว่าเราอ่อนแอ ก็ต้องขันตัวเองขึ้นมาหน่อย หรือ ถ้าช่วงนี้ เราสบายๆ เราผ่อนคลายได้ คือทำอะไรก็ตาม เราต้องรู้ตัวเองครับ แล้วความแข็งแรงมันไม่จำเป็นที่จะหุ่นดี แข็งแรงแค่เรารู้ตัวเองว่าเราไม่ป่วย แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว จะให้มาปั้นซิกซ์แพคตลอดก็ไม่ใช่แล้ว เขาทรมานตัวเองนะ จะกินอะไรก็ไม่ได้กิน จะไปนู่นนี่นั่นก็ไม่ได้ ต้องพิสเนสก่อน ต้องเข้ายิม คือเขาวางตารางให้คุณ แล้วเขามาสั่งให้คุณทำต่างๆ ทำไมคุณไม่สั่งตัวเอง

• ในส่วนของการออกกำลังกาย หมวดจัดการในส่วนการออกกำลังกายยังไงบ้าง

ผมไม่ต้องจัดการอะไรเลย เพราะเราอยากทำอยู่แล้ว ผมแค่ใช้ชีวิตตามปกติของผม คือเราจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย แต่ถ้าผมทำงานหนักแล้วผมไม่ได้ออก ผมก็จะถือว่าวันนั้นคือการออกกำลังกายนของผมแล้ว เช่น ผมได้รับภารกิจให้ไปลาดตระเวน เหนื่อยมาก แต่ก็ถือว่าประยุกต์ในการออกกำลังกายของเรา จะบอกว่า ทุกอย่างในชีวิตเรา มันคือการใช้พลังงาน เดินขึ้นลงบันได เดินไปนั่น ไปนี่ มันคือการบริหารพลังงาน แต่ความผิดพลาดของเราคือ เรารับพลังงานเข้าไปเยอะเกินไป พอเราไม่ได้ใช้ มันก็สะสมเป็นไขมัน ก็สะสมไป เพราะเราไม่รู้ตัวเองไง กำลังกายไม่ออก เรารักสบายไง คือเวลาไปไหน เดินก็เหนื่อยแล้ว มันเลยให้คนรักสบาย แต่การที่คุณมาออกกำลังกายคือต้องเจอความลำบาก คุณรักสบายในชีวิตประจำวัน แต่พอคุณจะมาลำบากในพิตเนส คุณต้องจ่ายตังค์ จ่ายตังค์ให้ตัวเองลำบากเพื่ออะไร ทำไมคุณไม่ลำบากอยู่ที่บ้าน ถูบ้านไปสิ ซักผ้าไปสิ ขุดดิน ถางหญ้า พรวนดินไปสิ ดีกว่าจ้างคนมาถางหญ้า แล้วตัวเองมาเสียตังค์เพื่อลู่วิ่งไฟฟ้า ซึ่งใช้พลังงานเท่ากันเลย คือเรายึดติดภาพว่า ฟิสเนสเป็นอย่างงี้ จะยึดติดว่า กูไม่มีเวลาไปฟิสเนสเลยว่ะ ทั้งที่พิตเนสมันคือการประยุกต์ในชีวิตประจำวันของเรา เคยเห็นฟิสเนสฝรั่งมั้ยที่เอาค้อนมาตียางรถ มันคือเลียนแบบการทำงานของกรรมกร เพื่อเผาผลาญพลังงาน คือไม่ตีที่บ้านล่ะ ต้องตีที่นี่ คนเรายึดติด มันเลยเกิดข้อผิดพลาด โลกออนไลน์ด้วย คือถ่ายรูปแล้วต้องโชว์ การถ่ายรูป ก็ทำให้เราออกกำลังกายได้น้อยลง ออกให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาถ่ายก็ได้ นี่มันก็มีทั้งข้อดีและเสียครับ

• ทีนี้พอการจัดการทั้งหมดที่ว่ามาอยู่ตัวแล้ว อยู่ดีๆ ทำไมถึงมาทำเพจนี้ครับ

ในการทำเพจของผมก็เกิดมาจากว่า มีคนมาถามผมเยอะ ถึงในเรื่องการออกกำลังกายว ในเรื่องการกิน ในเรื่องการออกกำลังเยอะ ผมเลยตอบไปเยอะ แล้วพอผมตอบไปหลายๆ คนเข้า ก็เลยคิดว่า สิ่งที่ผมตอบนั้น ผมจดไว้หมดนะ ใครมาถามอะไรผม ตอบมาผมจดไว้ เพราะผมชอบจดไดอารี่ ผมคิดว่าไอ้สิ่งพวกนี้ ถ้าเรามาเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ด้วยเนี่ย มันดีนะ เขาจะได้ไม่มาถามไง เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียตังค์อ่ะ เราแนะนำให้ฟรีๆ และยั่งยืนน่ะ เหมือนแค่เขามาถามผม ไม่ต้องไปถามใครต่อ คุณแค่กลับไปลงมือทำก็จบเลย ผมก็เลยคิดว่า ทำเพจดีกว่า แล้วเอาความรู้ที่จดไว้มาลง แล้วใครถามมาก็เอามาลงทางเพจ เราเลยเริ่มทำมาแบบไม่ได้จริงจังอะไรเยอะมาก แต่หลังๆ คนติดตามเยอะมาก พอติดตามเยอะ ก็กลายเป็นว่าเหมือนเป็นความหวังให้ทุกคน ว่าเราจะช่วยหรือตอบเขาได้ทุกเรื่อง แต่ผมก็คอยตอบว่า อย่ามาฝากความหวังไว้ที่ผม ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณด้วยนะ ซึ่งบางครั้งมีคนถามงี่เง่ามา ผมก็ไม่ตอบนะ ซึ่งก็มาจากคำถามซ้ำๆ ว่า พี่ผมอยากกล้ามใหญ่ทำยังไง เริ่มสิ เริ่มยังไง ก็เริ่มที่ตัวน้อง เพราะทุกวันนี้มีแต่การนั่งคิด แต่ไม่เริ่มทำซักที ออกไปเจอโลกสิ จะให้ไปนั่งเสิร์ชหาในกูเกิล คือมีแค่ความอยากอย่างเดียว แต่คุณก็ไม่ไปเผชิญโลกหรือเจอของจริง คุณอยากได้อะไร ก็ไปลงมือทำซะ นี่คือสิ่งที่ผมมักจะตอบไปแบบนี้ ซึ่งหลายคนก็จะโกรธเหมือนกันนะครับ แต่หลายๆ คนก็กลับมาขอบคุณผมในภายหลังนะ ที่โดนผมด่าในวันนั้น คือให้เขาคิดได้ ซึ่งผมจริงใจ นั่นคือผมละ

• แน่นอนว่าชื่อเพจกล้ามกรรมกรมันขายได้แหละ แต่รูปแบบการนำเสนอ ถือว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายตัวหมวดด้วยมั้ย

มันไม่ยากครับ เพราะว่าในการตั้งเพจ กรรมกรที่ผมพูดถึงคือ มันคือกรรมกร คือคนทำงาน คือทุกคน แปลตามตัวที่เราบอกเลย คือคนทำงานแต่อยากมีกล้าม อยากแข็งแรง ทำไงล่ะ มาสิ เดี๋ยวสอนให้ ก็เอาการออกกำลังกายมาอยู่ในชีวิตประจำเราสิ ไม่ต้องไปสถานที่ต่างๆ ไม่ต้องไปทำอะไร ตื่นเช้ามานึกอะไรไม่ออก 5 นาทีแรก วิ่งขึ้นลงบันได เย็น รถติด เดินกลับบ้าน ทำงานบ้าน แต่ถ้ามีเวลา มา จับดันพื้น จับเวลา ซิทอัพ ให้มัน take it easy ใครก็ทำได้ ได้ผลจริงด้วย นี่คือคอนเซปต์โดยรวมคือ กรรมกรก็คือคนทำงานทุกคนคือ เป็นเพจเพื่อสุขภาพ เพื่อคนทำงาน ประมาณนั้น ไม่ใช่เพื่อนักเพาะกาย หรือ นายแบบและนางแบบ ถ้าเขามาดูผมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว ของผมจะเป็นทางสายกลาง ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้อะไร แต่ผมเน้นให้ทุกคนทำได้จริง และทำด้วยตัวเองด้วย ไม่ต้องพึ่งพาใคร

• ในการที่หมวดนำมาประยุกต์ใช้ เราคำนึงถึงอะไรบ้าง แบบอุปกรณ์ต่างๆ

อย่างที่ผมบอกไปว่า อุปกรณ์ต่างมันดัดแปลงมาจากการที่เราได้ใช้งานอยู่แล้ว อย่างเช่นท่าเรฟวิป ที่เราใช้บาร์เบลเนี่ย มันก็ดัดแปลงมาจากท่ายกของ เราลองเอาของมายกดูสิ เอาถุงกระสอบทรายมายก มันก็ได้ หรือ ท่า ฟาร์มเมอร์ วอร์ก ถือดัมเบล ลองเอาถังน้ำมาหิ้วสิ คือเป็นการประยุกต์จากชีวิตประจำวันที่ฝรั่งเอาค้อนมาทุบยางรถยนต์ หรือไปขุดิน คือทุกอย่างเขามาจากชีวิตประจำวันเขาอยู่แล้ว แล้วออกแบบมาเป็นเครื่อง เราแค่กลับไปจุดเริ่มต้น จากเครื่องกลับไปสู่ชีวิตประจำวันเลย ทำอะไร ขุดดิน แบกของ เอาอะไรมาแบกก็ได้ ดันพื้น ซิทอัพ ทำให้มันถูก และทำให้จริงจัง แค่นั้นเอง คือผมจะทำเรื่องยาอให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และแสดงว่ามันได้ผลจริงๆ

• มองในมุมหนึ่งถือว่า การที่หมวดนำเสนอวิธีการออกกำลังกายแบบนี้ ก็เท่ากับกลับไปสู่ความเรียบง่ายด้วย แล้วก็ได้เห็นถึงต้นแบบของเครื่องทั้งหมดด้วย

ได้เห็นวิธีของบรรพบุรุษเรา กลับไปสุ่ความพอเพียง ความยั่งยืน ทางสายกลาง คือถ้าเราออกด้วยทางสายกลาง เราสามารถออกได้ทั้งชีวิต เวลาหักโหม เราทำได้แค่ตอนหนุ่มๆ แต่พอแก่ตัวไปก็ทำไม่ได้แล้ว พ่อผมอายุ 60 ในทุกวันนี้ ท่านไม่มีไขมันส่วนเกินเลย เพราะพ่อผมทำนา พ่อดึงข้อได้ ซึ่งเด็กยังทำไม่ได้เลย เพราะว่าแกอยู่กับธรรมชาติ แกขุดดิน ถางหญ้า แกแบกหาม และก็ยังทำได้ด้วยตัวแกคนเดียว กินผักข้างรั้ว ตำน้ำพริกกิน จับปลากินเอง นี่คือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนสมัยก่อนที่ทำให้ยังแข็งแรง คือสิ่งที่เราเห็นจากภาพสื่อเนี่ย มันคือนายแบบมาเล่น ซึ่งสมัยก่อนมันไม่มีแบบนั้นหรอก คนสมัยก่อนแข็งแรงมาก แต่คนสมัยนี้กล้ามเบ้อเร่อแต่ป่วย เพราะว่าไปเน้นเฉพาะจุดไง เราไม่ได้จัดการข้างใน เราไม่ได้รับสภาพแวดล้อมที่ดี พ่อผมไม่เคยป่วยเลย กล้ามเนื้อไม่สวยหรอก แต่แกแข็งแรงมาก ผมอยากให้ทุกคนมองข้ามเรื่องภายนอก หุ่นไม่ต้องดีหรอก ไม่ต้องหล่อแบบนายแบบ ไม่ต้องไปเสียตังค์หาหมอ อย่าไปเป็นภาระคนอื่นแค่นั้นพอ มีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ความง่าย ทางสายกลาง ยั่งยืน นี่คือสิ่งที่ผมจะพยายามสื่อออกไป

• พอรูปแบบการนำเสนอ โอเคหมดแล้ว แล้วพอมีคนมาติดตามเรา ผลตอบรับจากที่เราสัมผัสมา เป็นยังไงครับ

ถือว่าเกินคาดครับ เกินคาดที่ว่ามีคนติดตามเยอะขนาดนี้ แล้วเขาทำตามสิ่งที่เราแนะนำ แล้วเขามาบอกเราว่า ขอบคุณที่บอกเรา ซึ่งผมดีใจมากที่ยังมีคนมาฟังแนวคิดเรา ซึ่งบางส่วนเขาก็ทำตามด้วย ในความไม่หวือหวา แล้วผมพยายามจะสร้างกระแสใหม่ของการออกกำลังกายในความพอเพีแล้วก็มีคนตอบรับผมเยอะมาก ก็มีการแชร์ไปพอควร ซึ่งผมก็มองว่า สุดท้ายชีวิตก็ต้องการเท่านี้เองนะ เพื่อสุขภาพและความสุข แค่นี้เอง ไม่ต้องการที่จะเป็นนายแบบ นางแบบอะไรหรอก ซึ่งแนวคิดนี้แพร่กระจายออกไป ผมดีใจมาก ซึ่งคนไม่ชอบก็มี เพราะโลกนี้ก็แบบนี้ ผมไปเปลี่ยนอะไรใครไม่ได้ ซึ่งวันหนึ่ง เขาอาจจะกลับมาในสิ่งที่ผมบอกก้ได้ แต่ทุกวันนี้ผมพอใจมาก ก็อยู่กันไปเรื่อยๆ ละครับ

• แล้วคำนิยามของคำว่า ‘สุขภาพดี’ นั้น นอกจากที่ว่ามาแล้ว มีอะไรอีกครับ

คำว่าสุขภาพดีของผม คือ มีความสุข สุขใจ มีความสุขกับทุกอย่าง มีความสุขกับทุกคน ยิ้ม สดใสร่าเริง 2 คือ กายสุข ไม่เจ็บไม่ป่วย แค่นี้เอง สุขภาพดี อีกอย่าง สภาพแวดล้อม ก็ส่งผลมาก แล้วเราก็ส่งผลต่อคนอื่นด้วย ตัวเราเองก็ส่งผลด้วย ถ้าเราออกกำลังกาย ไอ้คนข้างๆ เรามันก็ออก เดี๋ยวมันเห็นว่ามันดี กูป่วยว่ะ ลองมาออกกำลังกายสิ ทำยังไง ลองไปวิ่งดู หรือ อย่าไปวิ่งเลย ไปกินเหล้ากัน เบรกบ้าง เราก็ไป พอเรียบร้อย เฮ้ย เมื่อกี้กินเหล้ามาแล้ว มึงไปวิ่งกับกู แลกกัน

• ถ้าเราจะดูแลตัวเองให้พอควรกับเรา ถือว่าเป็นเป้าหมายของเราประมาณนึงด้วยมั้ย

ใช่ครับ คือเราต้องดูแลตัวเอง เพื่อที่จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ตื่นมาแล้วออกกำลังกายไม่ไหว เสียงานเสียการ ไปทำงานจนไม่ไหว หลับอีก เสียงาน ทั้งๆ ที่การออกกำลังกายมันต้องส่งเสริมงานเรา เช้าออกเบาๆ สดชื่น รับอากาศบริสุทธิ์ สดชื่นร่าเริงแจ่มใส ไปทำงาน แล้วเครียดกลับมาก็ระเบิดกับการออกกำลังกาย เล่นหนักๆ แล้วนอนหลับสบาย ตื่นเช้ามากินข้าวอร่อย นี่คือการออกกำลังกายส่งเสริมการงาน แต่ถ้าเป็นการไม่ส่งเสริม จะเป็นลักษณะว่า ตื่นเช้ามาต้องทำตามตารางนี่หว่า ขอแป๊บนึง 10-15 นาที เสร็จแล้วไปทำงานเหนื่อย พอกลับบ้าน เหนื่อย นอน ตื่นมา วันนี้เล่นอกกับแขนนี่หว่า ไปพิสเนส 2 ชั่วโมง เพื่อนชวนกินข้าว ไม่ไปว่ะ เมียรอกินข้าว นี่คือ เพราะเอาตัวเองไปกระทบกับตาราง ฉะนั้นต้องจัดการตัวเองให้
ได้

• อยากจะฝากอะไรถึงผู้ที่ออกกำลังกายทุกแบบหน่อยครับ

สำหรับคนที่ต่อสู้กับการออกกำลังกาย มันคือการต่อสู้กับตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง ในทุกขณะที่เราเป็นอยู่ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น แล้วก็ อย่าวัดผลอะไรที่เป็นตัวเลข คือให้วัดจากตัวเองว่า ทุกวันนี้เราออกกำลังกาย แล้วเรามีความสุขหรือไม่ ถ้าเรามีความสุข นั่นแหละคือความสำเร็จ อย่าไปคิดว่า เมื่อไหร่น้ำหนักจะลงไปตามที่ตั้งเป้าวะ ไม่เอา บีบคั้นตัวเอง เป็นทุกข์ ทำไปเรื่อยๆ เฮฮากับเพื่อนบ้าง บางทีไม่ได้อะไรหรอก แต่ก็สนุกได้เพื่อน คือถ้าออกกำลังกายแล้วมีความสุข จะทำได้ตลอด แต่ถ้าออกกำลังแบบเครียดๆ วันหนึ่งเดี๋ยวก็ทิ้งมัน สำหรับคนที่กำลังท้อ ให้มองคนที่เขาแย่กว่าเรา หากำลังใจจากคนรอบข้าง ผมไปวิ่งมาราธอน คนที่มีขาข้างเดียว คนที่มีภาวะปัญญาอ่อน หรือคนตาบอดเขาก็ยังมาวิ่ง แล้วเราเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ เพียงแต่ว่าอ้วนไปหน่อย ทำไมเราถึงจะวิ่งไม่ได้ อย่าไปมองคนที่เขาสูงกว่าเราให้ท้อใจตัวเอง ง่ายๆ แค่นี้เอง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา และ แฟนเพจ กล้ามกรรมกร
ขอบคุณสถานที่ : Jaroenthong Muay Thai และ PRA-AR-TIT FIT 24 Hrs. ถ.พระอาทิตย์ เบอร์โทร 082-629-2313

กำลังโหลดความคิดเห็น