By : Pharmchompoo
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า ชีวิตคนเราตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา จนเข้านอนอีกรอบ เช้าจรดเย็น จะไม่มีช่วงไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเคมี แปรงฟันเราก็ใช้ยาสีฟัน ซักเสื้อซักผ้าก็ใช้ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ล้างห้องน้ำก็ใช้น้ำยาขจัดคราบหรือน้ำยาล้างทำความสะอาด ไม่มีช่วงใดจริงๆ ที่เราดำรงชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี
ขึ้นชื่อว่าสารเคมี ย่อมมีทั้งคุณประโยชน์และโทษมหันต์ หากใช้สอย ซื้อหา เก็บรักษาอย่างไม่ระมัดระวัง ก็ย่อมส่งผลต่อผู้ใช้และอาจรวมไปถึงคนรอบข้างได้
ก็ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสารเคมี ไม่มีคนปกติที่ไหนที่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสารเคมี กินเข้าไปแล้วก็เป็นอันตราย แล้วก็ยังฝืนกิน แล้วทำไมถึงยังมีเหตุการณ์ที่คนเราได้รับสัมผัสสารพิษ หรือเกิดความเป็นพิษจากสารเคมีขึ้นตลอดเวลา ???
อย่างที่กล่าวแล้วว่า สารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากจริงๆ มากเสียจนกระทั่งเราไว้ใจว่ามันไม่น่าจะมีอะไร และด้วยความที่คิดว่า “มันไม่น่าจะมีอะไร” ก็ทำให้เราลืมและเกิดความเผอเรอขึ้น พูดเฉยๆ อาจจะไม่เห็นภาพ เราลองมาดูกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงๆ กันแล้วดีกว่า แล้วเราจะได้เห็นว่า ประเด็นมันอยู่ที่ตรงไหน
*พ่อลูกอ่อนเก็บน้ำยาขัดด้ามปืนไว้ในขวดนมเปรี้ยว เด็กเห็นว่าพ่อเองก็ดื่มนมเปรี้ยวอยู่เป็นประจำ วันนั้นเด็กก็หยิบขวดนมเปรี้ยวนั้นมา... และดื่ม ...
*สามีภรรยามีอาชีพทำทอง เทน้ำยาขัดเครื่องเงินไว้ในขวดนมเปรี้ยว (อีกแล้ว) มัดปากอย่างดี และซ่อนไว้ในถังขยะ เด็กน้อยของสามีภรรยาดังกล่าวรื้อค้นถังขยะและเจอขวดนมเปรี้ยวนั้น ...
*คุณตาวัย 70 ปีเศษ ผสมน้ำยารีดผ้าเรียบกับน้ำเปล่าไว้ เทใส่ขวดน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่ง วางไว้ในห้องนั่งเล่น คุณยายซึ่งเป็นต้อกระจกหิวน้ำและหยิบขวดน้ำดื่มนั้นไป ...
*สามีภรรยา (อีกคู่) มีอาชีพก่อสร้าง เก็บน้ำยาบ่มคอนกรีตไว้ที่บ้าน บรรจงกรอกน้ำยาบ่มคอนกรีตที่มีสีดำเข้มที่จะเก็บไว้ใช้งานในวันรุ่งขึ้นไว้ในขวดน้ำอัดลมน้ำดำยี่ห้อหนึ่งและเก็บไว้ในตู้เย็น ตอนเย็นหลังอาหาร เด็กน้อยของสามีภรรยาคู่นั้นหยิบขวดน้ำอัดลมดังกล่าวมาเพื่อดื่ม ...
*เกษตรกรผสมยาฆ่าแมลงเก็บไว้ในขวดชาเขียว เพื่อจะเอาไว้ใช้ต่อ บนชั้นเก็บของ น้องสาวของเขาซึ่งมีอาการทางประสาทมาหยิบไปดื่ม เกิดพิษอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเขาได้ทิ้งภาชนะเดิมไปตั้งแต่ตอนผสมเสร็จแล้ว ...
จากทั้ง 5 กรณีตัวอย่างที่ยกมา จะเห็นได้ถึงความ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี “คิดว่าไม่น่าจะเป็นไร” ทำให้เราเผลอ และบ่อยครั้งผู้ที่รับเคราะห์ของความเผลอของเรานั้น เป็นคนใกล้ตัว ที่เรารัก
ประเด็นที่อยากจะชี้ให้เห็นคือ “การเก็บสารเคมีไว้ในภาชนะและสถานที่ที่ไม่ควรเก็บ”
จากกรณีศึกษาที่ยกมาทั้งหมด พูดง่ายๆ เลยคือ เก็บของกินไม่ได้ไว้ในภาชนะบรรจุของกินได้ และเก็บรักษาไว้ในบริเวณที่ไม่ควรจะเก็บ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความระแวดระวังก็หมดไป ความเข้าใจผิด และการรับสัมผัสสารอย่างไม่ได้ตั้งใจจึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีตัวอย่างสุดท้าย เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารที่ทำให้เกิดพิษได้ เพราะทิ้งภาชนะดั้งเดิมไปหมดแล้ว นี่เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การรักษาพยาบาลมีความยากลำบากเข้าไปอีก และหลายครั้งที่ความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างที่เราไม่ได้จงใจ
ทางแก้ของปัญหาเหล่านี้ ง่ายมาก แต่ต้องฝืนความรู้สึก ความเคยชินของเราสักเล็กน้อย นั่นก็คือ อย่าเก็บของที่กินไม่ได้ ของที่เป็นพิษ ไว้ในภาชนะบรรจุของกินได้
เลิกไปเลยกับการเอาขวดน้ำดื่ม ขวดบรรจุเครื่องดื่มสารพัดชนิดที่หมดแล้วเอามาบรรจุสารเคมีที่เป็นอันตราย กระทั่งขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มักจะนำมาใส่พวกทินเนอร์ แลกเกอร์ ตัวทำละลายอินทรีย์ชนิดต่างๆ แล้วสุดท้ายก็มักจะมีคนกินผิดมาประจำ
สถานที่เก็บสารเคมีเหล่านี้ก็ต้องอยู่ในที่มิดชิด ล็อกกุญแจ อยู่ในที่สูงที่เด็ก ๆ เอื้อมไม่ถึง อย่าเก็บไว้ปะปนกับข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน หรือเก็บไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว ภาชนะที่ใส่ควรเป็นภาชนะที่ปิดสนิท และมีการระบุฉลากไว้เสมอว่าเป็นสารเคมีอะไร
สำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรและมีการใช้สารเคมีมากๆ ก็อาจจะต้องทำบันทึกไว้เลยว่ามีการซื้อหาสารเคมีอะไรมาใช้ เก็บสารเคมีไว้ในภาชนะดั้งเดิม หรือถ่ายรูปภาชนะสารเคมีเอาไว้ เผื่อว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้ไม่เป็นปัญหาเวลาต้องการการพิสูจน์เอกลักษณ์ของสาร
สารเคมีทุกชนิดเป็นวัตถุที่มีอันตราย เราใช้ได้แต่ต้องอยู่กับมันให้เป็นและรู้เท่าทัน เพื่อที่เราและคนใกล้ตัวจะได้ปลอดภัยจากพิษร้ายของสารเคมี
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า ชีวิตคนเราตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา จนเข้านอนอีกรอบ เช้าจรดเย็น จะไม่มีช่วงไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเคมี แปรงฟันเราก็ใช้ยาสีฟัน ซักเสื้อซักผ้าก็ใช้ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ล้างห้องน้ำก็ใช้น้ำยาขจัดคราบหรือน้ำยาล้างทำความสะอาด ไม่มีช่วงใดจริงๆ ที่เราดำรงชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมี
ขึ้นชื่อว่าสารเคมี ย่อมมีทั้งคุณประโยชน์และโทษมหันต์ หากใช้สอย ซื้อหา เก็บรักษาอย่างไม่ระมัดระวัง ก็ย่อมส่งผลต่อผู้ใช้และอาจรวมไปถึงคนรอบข้างได้
ก็ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสารเคมี ไม่มีคนปกติที่ไหนที่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสารเคมี กินเข้าไปแล้วก็เป็นอันตราย แล้วก็ยังฝืนกิน แล้วทำไมถึงยังมีเหตุการณ์ที่คนเราได้รับสัมผัสสารพิษ หรือเกิดความเป็นพิษจากสารเคมีขึ้นตลอดเวลา ???
อย่างที่กล่าวแล้วว่า สารเคมีอยู่ใกล้ตัวเรามากจริงๆ มากเสียจนกระทั่งเราไว้ใจว่ามันไม่น่าจะมีอะไร และด้วยความที่คิดว่า “มันไม่น่าจะมีอะไร” ก็ทำให้เราลืมและเกิดความเผอเรอขึ้น พูดเฉยๆ อาจจะไม่เห็นภาพ เราลองมาดูกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงๆ กันแล้วดีกว่า แล้วเราจะได้เห็นว่า ประเด็นมันอยู่ที่ตรงไหน
*พ่อลูกอ่อนเก็บน้ำยาขัดด้ามปืนไว้ในขวดนมเปรี้ยว เด็กเห็นว่าพ่อเองก็ดื่มนมเปรี้ยวอยู่เป็นประจำ วันนั้นเด็กก็หยิบขวดนมเปรี้ยวนั้นมา... และดื่ม ...
*สามีภรรยามีอาชีพทำทอง เทน้ำยาขัดเครื่องเงินไว้ในขวดนมเปรี้ยว (อีกแล้ว) มัดปากอย่างดี และซ่อนไว้ในถังขยะ เด็กน้อยของสามีภรรยาดังกล่าวรื้อค้นถังขยะและเจอขวดนมเปรี้ยวนั้น ...
*คุณตาวัย 70 ปีเศษ ผสมน้ำยารีดผ้าเรียบกับน้ำเปล่าไว้ เทใส่ขวดน้ำดื่มยี่ห้อหนึ่ง วางไว้ในห้องนั่งเล่น คุณยายซึ่งเป็นต้อกระจกหิวน้ำและหยิบขวดน้ำดื่มนั้นไป ...
*สามีภรรยา (อีกคู่) มีอาชีพก่อสร้าง เก็บน้ำยาบ่มคอนกรีตไว้ที่บ้าน บรรจงกรอกน้ำยาบ่มคอนกรีตที่มีสีดำเข้มที่จะเก็บไว้ใช้งานในวันรุ่งขึ้นไว้ในขวดน้ำอัดลมน้ำดำยี่ห้อหนึ่งและเก็บไว้ในตู้เย็น ตอนเย็นหลังอาหาร เด็กน้อยของสามีภรรยาคู่นั้นหยิบขวดน้ำอัดลมดังกล่าวมาเพื่อดื่ม ...
*เกษตรกรผสมยาฆ่าแมลงเก็บไว้ในขวดชาเขียว เพื่อจะเอาไว้ใช้ต่อ บนชั้นเก็บของ น้องสาวของเขาซึ่งมีอาการทางประสาทมาหยิบไปดื่ม เกิดพิษอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเขาได้ทิ้งภาชนะเดิมไปตั้งแต่ตอนผสมเสร็จแล้ว ...
จากทั้ง 5 กรณีตัวอย่างที่ยกมา จะเห็นได้ถึงความ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี “คิดว่าไม่น่าจะเป็นไร” ทำให้เราเผลอ และบ่อยครั้งผู้ที่รับเคราะห์ของความเผลอของเรานั้น เป็นคนใกล้ตัว ที่เรารัก
ประเด็นที่อยากจะชี้ให้เห็นคือ “การเก็บสารเคมีไว้ในภาชนะและสถานที่ที่ไม่ควรเก็บ”
จากกรณีศึกษาที่ยกมาทั้งหมด พูดง่ายๆ เลยคือ เก็บของกินไม่ได้ไว้ในภาชนะบรรจุของกินได้ และเก็บรักษาไว้ในบริเวณที่ไม่ควรจะเก็บ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความระแวดระวังก็หมดไป ความเข้าใจผิด และการรับสัมผัสสารอย่างไม่ได้ตั้งใจจึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีตัวอย่างสุดท้าย เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารที่ทำให้เกิดพิษได้ เพราะทิ้งภาชนะดั้งเดิมไปหมดแล้ว นี่เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การรักษาพยาบาลมีความยากลำบากเข้าไปอีก และหลายครั้งที่ความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างที่เราไม่ได้จงใจ
ทางแก้ของปัญหาเหล่านี้ ง่ายมาก แต่ต้องฝืนความรู้สึก ความเคยชินของเราสักเล็กน้อย นั่นก็คือ อย่าเก็บของที่กินไม่ได้ ของที่เป็นพิษ ไว้ในภาชนะบรรจุของกินได้
เลิกไปเลยกับการเอาขวดน้ำดื่ม ขวดบรรจุเครื่องดื่มสารพัดชนิดที่หมดแล้วเอามาบรรจุสารเคมีที่เป็นอันตราย กระทั่งขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่มักจะนำมาใส่พวกทินเนอร์ แลกเกอร์ ตัวทำละลายอินทรีย์ชนิดต่างๆ แล้วสุดท้ายก็มักจะมีคนกินผิดมาประจำ
สถานที่เก็บสารเคมีเหล่านี้ก็ต้องอยู่ในที่มิดชิด ล็อกกุญแจ อยู่ในที่สูงที่เด็ก ๆ เอื้อมไม่ถึง อย่าเก็บไว้ปะปนกับข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน หรือเก็บไว้ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว ภาชนะที่ใส่ควรเป็นภาชนะที่ปิดสนิท และมีการระบุฉลากไว้เสมอว่าเป็นสารเคมีอะไร
สำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรและมีการใช้สารเคมีมากๆ ก็อาจจะต้องทำบันทึกไว้เลยว่ามีการซื้อหาสารเคมีอะไรมาใช้ เก็บสารเคมีไว้ในภาชนะดั้งเดิม หรือถ่ายรูปภาชนะสารเคมีเอาไว้ เผื่อว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจะได้ไม่เป็นปัญหาเวลาต้องการการพิสูจน์เอกลักษณ์ของสาร
สารเคมีทุกชนิดเป็นวัตถุที่มีอันตราย เราใช้ได้แต่ต้องอยู่กับมันให้เป็นและรู้เท่าทัน เพื่อที่เราและคนใกล้ตัวจะได้ปลอดภัยจากพิษร้ายของสารเคมี
หมายเหตุ : Pharmchompoo เป็นนามปากกาของเภสัชกรท่านหนึ่งซึ่งเรียนจบมาทางด้านเภสัชศาสตร์โดยตรง ปัจจุบันประจำอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และบทความเชิงสาระความรู้เพื่อการตระหนักเกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้องเหมาะสม จะมาพบกับคุณผู้อ่านเป็นประจำอย่างน้อยสองครั้งต่อเดือน |