xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจแกร่งๆ ของ “พิมพ์มาดา” ดาราสาวผู้ต่อสู้กับโรคมะเร็งรังไข่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใครจะรู้บ้างว่า จากชีวิตที่เคยปกติ สดใส และร่าเริง วันหนึ่งกลับต้องมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย แบบไม่ทันตั้งตัว จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ และยอมรับมันได้ เหมือนกับ พิมพ์ พิมพ์มาดา ที่ก่อนหน้านี่เราก็ทราบกันดีว่า เธอเป็นโรคมะเร็งรังไข่ และต้องต่อสู้กับโรคนี้ในทุกๆ วัน แม้จะทำการผ่าตัดออกไปแล้วก็ตาม ยิ่งทำให้เธอตื่นตัวเรื่องสุขภาพมากขึ้น กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ ก็ไม่ได้ง่ายเลย แต่เมื่อถึงวันนี้ เธอดูไม่เหมือนคนที่ป่วย และยังใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

พิมพ์ - พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร นักร้องและนักแสดง เล่าถึงประสบการณ์ในการรักษาโรคมะเร็งรังไข่

"แต่ก็ถือว่าโชคดีที่รู้เร็ว แค่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะมาเกิดขึ้นกับเรา และมันก็ใกล้ตัวเราได้มากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจเลย คิดว่าไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันแน่นอน พอได้ศึกษาจริงๆ จึงรู้ว่ามันน่ากลัวมาก อยู่ดีๆ ท้องก็ป่อง พิมพ์ไม่เคยสังเกตตัวเอง ก็ประมาททุกทาง ไม่เคยตรวจสุขภาพ ไม่เคยพบหมอ ไม่เคยตรวจเช็คตัวเอง วันหนึ่งมันป่อง จนเรารู้สึกว่า มันผิดปกติมาก รู้สึกมีอาการปวดหน่วงๆ ที่ท้องด้วย แล้วท้องก็โตเหมือนคนท้อง มันใหญ่จนหมอบอกว่า เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะไม่สังเกตตัวเอง ความใหญ่ขนาด 18 เซนติเมตร ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ แต่จริงๆ หมอบอกว่ามันอยู่กับพิมพ์มานานแล้ว จนเติบโตได้มากขนาดนี้”

• ที่ผ่านมา คุณพิมพ์ ผ่านการรักษาด้วยวิธีการไหนมาบ้างคะ

ในการรักษา พิมพ์ผ่านการทำคีโม เราไม่เคยรู้จักมันเลย ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงความเป็นอยู่ทุกอย่าง มันแย่ แต่ถามว่าเราจำเป็นต้องผ่านมันมาให้ได้หรือไม่ มจำเป็นมากค่ะ ไม่อย่างนั้น คุณก็ไม่หาย ถามว่าการทำคีโมน่ากลัวไหม พูดตามคนปกติก็คือน่ากลัว แต่ถามว่ามีผลในระยะยาวที่ดีไหม แน่นอนว่ามันมีความจำเป็นมาก พิมพ์เคยไปศึกษาว่าไม่ต้องทำคีโมก็ได้ มีการใช้สมุนไพร แต่อะไรมันการันตีเรา 100 เปอร์เซ็นต์ มันไม่มี มันมีเฉพาะทางนี้ทางเดียว จึงต้องผ่านไปให้ได้

อย่างไรก็ตาม พิมพ์รู้สึกว่าทุกอย่างมันอยู่ที่เราหมด ส่วนวิธีการดูแลก็คือเราต้องคิดให้ได้ว่าเราอยากหายหรือเปล่า ถ้าเราอยากหาย มันมีวิธีหรือหนทางใดบ้าง ทำตามที่หมอแนะนำ ทำทุกอย่างที่คุณหมอบอก เชื่อคุณหมอเยอะๆ คุณหมอห้ามอะไร คุณหมอให้ปฏิบัติตัวอย่างไร ให้เชื่อคุณหมอ ส่วนสิ่งต่างๆ ตรงนั้นเป็นเรื่องของสภาพจิตใจของเรา เราต้องสามารถลุกขึ้นมาให้ได้ มามีความสุข มาใช้ชีวิตประจำวันให้ได้ เหมือนว่าเราต้องใช้เวลาอยู่กับโรคนี้นาน ไม่มีใครไปสอนได้ว่าต้องคิดแบบนี้สิ มันบอกไม่ได้ เอาเป็นว่าพยายามบอกตัวเองบ่อยๆ ว่าฉันต้องหาย ชีวิตฉันต้องมีความสุข เกิดมาเหมาะสมแล้วที่เราจะต้องมีความสุข ที่เหลือเราไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ แค่ใช้ชีวิตที่เหลือของเราให้มีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะอยู่กับโรคหรือไม่อยู่กับโรคก็ตาม

• ช่วงที่รักษา เรื่องอาหารการกิน ต้องเลือกกินแบบไหนคะ

แค่งดตามที่คุณหมอสั่ง ของดิบ ผักสด ของดอง เพราะผักสดมีความเสี่ยงเรื่องความไม่สะอาด มีโรค มีสารเคมี อาจจะไปสะสมในร่างกายเรา ก็ไม่ดี ให้งด ส่วนอื่นๆ ทานได้หมอเลย เนื้อสัตว์ทานได้แค่ไหน ทานไปเลย ให้ร่างกายเราแข็งแรง เพราะว่าคนที่ทำคีโม บางคนจะทานอาหารไม่ได้

• ตอนที่รู้ว่าเป็น ตอนนั้นมีวิธีรับมือกับตัวเองอย่างไรบ้าง

เข้าใจ และยอมรับกับสิ่งที่เจอ เพราะว่าเราไปห้ามมันไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ต้องยอมรับว่าเราไม่สบายนะ รักษาอยู่ อะไรที่หมอแนะนำ อะไรที่เราทำได้ เราก็ควรทำ

• ต้องการคำปลอบใจไหมคะ ในช่วงที่เป็น

ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ คนรอบข้างพิมพ์ทราบหมดว่าพิมพ์เป็นอะไร ใครที่อยากจะมาเยี่ยม ใครที่อยากมาให้กำลังใจเรา เราก็เก็บเกี่ยวตรงนั้นมา แต่ช่วงไหนที่ร่างกายเราไม่พร้อม เพื่อนๆ ทุกคนก็จะทราบว่าเราต้องการพักผ่อน บางคนร่างกายอาจจะแย่จริงๆ ไม่พร้อมที่จะเจอใครจริงๆ เราก็ต้องเข้าใจเขา เรายิ่งต้องหยิบยื่นกำลังใจให้เขาเยอะๆ

• ตอนนั้นรู้สึกอยากอยู่คนเดียวบ้างไหม

ไม่เลย อยากออกไปนอกบ้าน อยากออกไปเที่ยวมากกว่า มันมีความสุขมากที่เราสามารถผ่านมันไปได้ นับวันที่ไม่มีใครเจอ จะไม่มีใครรู้ว่า มันทรมาน ต้องผ่านอะไรไปบ้าง ฉะนั้น อะไรที่ป้องกันได้ ก็ป้องกัน ไปหาหมอ ไปตรวจ ถึงเป็น แต่รู้เร็วก็ดีกว่า

• ที่ผ่านมา เห็นว่ามีการใช้ธรรมะเข้ามาช่วยด้วย

ใช้ค่ะ ใช้เยอะ เพราะธรรมะจะสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน สอนให้เรายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น สอนให้เราเข้าใจธรรมชาติ เรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่เราต้องเจอ พอเราเจอแล้ว เรายอมรับแล้ว เราก็สามารถอยู่กับเขาได้ อีกอย่างหนึ่ง ในวิธีการรักษาร่างกายเรา ไม่ใช่หน้าที่เรา แต่เป็นหน้าที่ของหมอ รักษาสภาพจิตใจ รักษาร่างกาย รักษาให้เราอยู่ได้อย่างไรกับโรคนี้ หรือไม่จำเป็นต้องเป็นโรคนี้ หรือโรคอื่นๆ ก็ช่วยได้หมด

• กำลังใจดีด้วยหรือเปล่าจึงหายเร็ว

จริงๆ คนอื่นเป็นส่วนหนึ่งซึ่งช่วยเรา แต่หลักๆ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง พยายามบอกตัวเองทุกวันว่าเราจะไม่เศร้า เราจะไม่แย่ สิ่งที่เราเจอ ก็แย่มากพอแล้ว จะแย่ลงไปอีก มันก็ไม่มีประโยชน์ มันต้องมีความสุขให้ได้ในทุกๆ วัน

• ความรู้สึกโดยรวมตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้มีโอกาสได้ออกมาแชร์ประสบการณ์และเป็นประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก รู้สึกสบายใจ ตอนนี้คนก็เริ่มตื่นตัวกับเรื่องสุขภาพ เหมือนอะไรที่พอจะทำได้ เราก็จะช่วย เราพูดไว้ตั้งแต่ตอนที่เราไม่สบายแล้วว่า ยินดีที่จะช่วยหมดเลย เรารู้แล้วว่าเราเป็นแล้วมันไม่มีความสุข อะไรที่ป้องกันได้ หรือแชร์ประสบการณ์เราได้ แล้วมันได้ช่วยคน และเห็นว่าดี เราก็ยินดีที่จะทำค่ะ
เรื่อง : นงนุช พุดขาว
ภาพ : InStagram pimmada

กำลังโหลดความคิดเห็น