ปีใหม่เข้ามา หลายต่อหลายคนบ่นว่าแก่ลงอีกปี อายุเพิ่มขยับเปลี่ยนเลขหลักหน้า หรือไม่ก็ส่องกระจกรับวันเบิกบานด้วยอาการไม่แจ่มใสเพราะริ้วรอยที่คุกคามความอ่อนวัยให้หายไปยิ่งขึ้นทุกปี
ทว่า...อย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นหวังหรือเตรียมเก็บสตุ้งสตางค์ไปพึ่งมีดพึ่งเข็มยกกระชับ เนื่องจากหากทำตามเคล็ดลับ 5 ข้อต่อไปนี้ คุณจะประหนึ่งเหมือนมีเวทย์มนต์คาถา สามารถสั่งได้ดั่งใจนึก แล้วคุณจะรู้ว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” จริงๆ
จะเด้ง จะเด็ก ก็ได้ทั้งนั้น
1.ปรับนิสัยการกิน
ถือเป็นข้อแรกที่สุดที่ต้องหยิบขึ้นมาเป็นอันดับแรก เพราะว่าคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธไปเรื่องไหนจะใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว เนื่องจากกินถือเป็นการเติมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรงดังนั้นตัวแปรสำคัญหากต้องการให้ความอ่อนเยาว์เหมือนเด็กเอ๊าะๆ อีกครั้งนี่คือสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด
เริ่มจากหลักๆ เลยคือ “น้ำ” เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกายแถมยังร่างกายยังขาดไม่ได้ ฉะนั้นเราควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน (ประมาณ8-10 แก้ว) และทางที่ดีควรดื่มจากแก้วแทนภาชนะพลาสติกจะดีที่สุดเนื่องจากมีสารอันตรายเจือปน จากนั้นควรลดละเลิกน้ำอัดลมเครื่องดื่มหวานๆ
ส่วนอันดับที่สองรองลงมาสำคัญต่อร่างกายควบคู่ไม่แพ้กันคือ “อาหาร” เราจึงควรบริโภคมื้อเช้าทุกวัน และจะต้องเน้น “ผัก” และ “ผลไม้” ให้มากกว่าเนื้อสัตว์ เพราะผักและผลไม้มีวิตามินหลากหลายซึ่งหากทานครบก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิตามินอาหารเสริม และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอดหรือมันๆ อย่างกะทิ ลดอาหารที่มีไขมัน ทานแต่อาหารไขมันต่ำ ไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า3,6 และ9 เท่านี้แคลอรี่ที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายไม่ว่าจะได้จากโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน อันจะก่อให้เกิดเป็นน้ำตาลในระบบย่อยสลายที่จะส่งผลให้แก่ไวก็จะไม่ถูกสะสมในร่างกาย
**แนะวิธีสังเกต**
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปมีผักหรือผลไม้มากกว่ากัน ให้ดูจากอุจจาระในแต่ละวัน หากอุจจาระเป็นสีน้ำตาลอมดำ แสดงว่าทานเนื้อสัตว์มากกว่าผักผลไม้ แต่ถ้าทานผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์อุจจาระที่ได้จะเป็นสีเขียว หรือหากอุจจาระมีสีน้ำตาลอมเขียวแสดงว่าทานผักผลไม้และเนื้อสัตว์สมดุลกัน
2.พักผ่อนให้เพียงพอ
สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะสังเกตไหมว่าหากเราพักผ่อนน้อยเกินไปร่างกายจะรู้สึกเหนื่อยล้าง่าย รอยหมองคล้ำที่ถุงใต้ตาก็จะเด่นชัด นี่ยังไม่นับผิวหนังที่จะเริ่มหย่อนเสื่อม ซึ่งทั้งหมดจะตรงกันข้ามหากเราพักผ่อนร่างกายอย่างเพียงพอครบ 8 ชั่วโมง เพราะทั้งนี้เวลาเรานอนหลับนั้นระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานน้อยกว่าตอนตื่น เรียกได้ว่าเป็นการพักยกเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปรับสมดุลให้ร่างกาย ดังนั้นร่างกายในช่วงที่หลับจะผลิตเซลล์ผิวใหม่ทดแทน และฟื้นฟูสภาพผิวให้อ่อนวัย
เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการพักผ่อนก็คือ 4 ทุ่มถึงตี 2 นื่องจากเป็นช่วงเวลาที่แพทย์ระบุว่าร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินทำให้เราหลับสนิท ดังนั้น เราควรจะต้องปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ งดเสียงดังฟังเพลง งดแสงสว่างไฟจากโทรทัศน์และหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งสารพักผ่อนอย่างเต็มที่ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ทั้งโกรทฮอร์โมนที่เป็นตัวเสริมสร้างโปรตีนในร่างกายให้เกิดคอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ทั้งหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายคงความเต่งตึง
3.อารมณ์ดี มองโลกแง่บวก มีอารมณ์ขัน
หากเราทำได้ในสองข้อแรกเรียบร้อย สิ่งที่ตามมาและควรจะทำให้ได้คือการที่เป็นคนอารมณ์ดี เพราะอย่างที่รู้ๆ ว่า “ความเครียด” นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ยังทำให้เราหมองหม่นเพิ่มจากการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด (เพราะกล้ามเนื้อคงรูป หากเราทำสีหน้าเครียดบ่อยๆ) แถมยังเป็นตัวก่อเกิดโรคต่างๆ อันเป็นผลทำให้ระบบร่างกายแปรปรวนอีกด้วย
ฉะนั้น รู้อย่างนี้ เราควรจะทำตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก มีอารมณ์ขัน อารมณ์ดีอยู่เสมอๆ เพราะมื่อสุขภาพจิตดี จิตใจชื่นบาน ร่างกายก็จะส่งผลให้แลดูเด็กผิวพรรณเปล่งปลั่งดูดี และยังจะเป็นที่รักของผู้พบเห็นและใกล้ชิดอีกด้วย
4.ออกกำลังกาย
แน่นอนว่าคุณประโยชน์ของการออกกำลังมีมากมายเหลือคณานับ แต่กระนั้น เราก็ควรระมัดระวังออกกำลังกายแต่ให้พอดีพอเหมาะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังมากเกินไปจะทำให้ความเต่งตึงของผิวถูกดึงไปใช้ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดอาการหย่อนคล้อยเหี่ยวย่นโดยไม่พึงปรารถนา
เราจึงควรออกกำลังกายให้พอเหมาะกับร่างกาย กล่าวคือโดยทั่วไปร่างกายคนเราควรออกกำลังกายประมาณ 10-30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ3 ครั้ง หรือวันเว้นวัน (บางกรณีออกกำลังกาย10 นาทีแล้วพักยกก็ได้) ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกแต่ละคนไม่มีกฏตายตัวจะตอนเช้าที่มีอากาศค่อนข้างดี มลภาวะน้อย หรือตอนเย็นแดดร่ม ก็ดี เพราะเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้เต็มที่เนื่องจากผ่านการทำงานมาบ้างแล้ว
ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายประเภทหนักๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เสมอไป การออกกำลังกายเบาๆ อย่างการเต้นแอโรบิค เล่นโยคะ เดินเร็ว ก็ช่วยต่อต้านริ้วรอยชะลอวัยที่ทำให้ดูเด็กลงได้
5.ไม่ยุ่งสิ่งเสพติดและของมึนเมา
ตัวการร้ายที่สุดที่จะส่งผลต่อระบบนิเวศบนดวงหน้าและผิวพรรณ เห็นทีจะปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ หากดื่มเกินควร เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่ออายุผิว เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เลือดลมสูบฉีด เพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด ซึ่งนั่นจะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวทำงานหนักขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อร่างกายรับแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ผวหยาบกร้าน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเหล้าแปรสภาพ จะกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมันทำให้เกิดอาการบวมฉุ อ้วนลงพุง หัวล้านได้
ส่วนบุหรี่ไม่ว่าจะสูบควันเสียเองหรือรับควันโดยไม่ตั้งใจ นั่นเท่ากับเรากำลังแก่ลงทุกวินาทีที่หายใจ เพราะถ้าเทียบเคียงให้เห็นง่ายๆ คือ บุหรี่ 1 มวน สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1,014 ล้านโมเลกุล หากลองเอามาคูณหารบวกลบทุกๆ วัน แน่นอนว่าผิวย่อมถูกทำร้าย ทั้งนี้จากผลรายงานการวิจัยส่วนใหญ่พบว่า บุหรี่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย ลดความชุ่มชื้นในผิวหนัง เพราะบุหรี่เป็นตัวทำลายวิตามินซีในร่างกายซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักแห่งความเยาว์วัย
ทว่า...อย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นหวังหรือเตรียมเก็บสตุ้งสตางค์ไปพึ่งมีดพึ่งเข็มยกกระชับ เนื่องจากหากทำตามเคล็ดลับ 5 ข้อต่อไปนี้ คุณจะประหนึ่งเหมือนมีเวทย์มนต์คาถา สามารถสั่งได้ดั่งใจนึก แล้วคุณจะรู้ว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” จริงๆ
จะเด้ง จะเด็ก ก็ได้ทั้งนั้น
1.ปรับนิสัยการกิน
ถือเป็นข้อแรกที่สุดที่ต้องหยิบขึ้นมาเป็นอันดับแรก เพราะว่าคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธไปเรื่องไหนจะใหญ่ไปกว่าเรื่องนี้อีกแล้ว เนื่องจากกินถือเป็นการเติมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรงดังนั้นตัวแปรสำคัญหากต้องการให้ความอ่อนเยาว์เหมือนเด็กเอ๊าะๆ อีกครั้งนี่คือสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด
เริ่มจากหลักๆ เลยคือ “น้ำ” เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในร่างกายแถมยังร่างกายยังขาดไม่ได้ ฉะนั้นเราควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน (ประมาณ8-10 แก้ว) และทางที่ดีควรดื่มจากแก้วแทนภาชนะพลาสติกจะดีที่สุดเนื่องจากมีสารอันตรายเจือปน จากนั้นควรลดละเลิกน้ำอัดลมเครื่องดื่มหวานๆ
ส่วนอันดับที่สองรองลงมาสำคัญต่อร่างกายควบคู่ไม่แพ้กันคือ “อาหาร” เราจึงควรบริโภคมื้อเช้าทุกวัน และจะต้องเน้น “ผัก” และ “ผลไม้” ให้มากกว่าเนื้อสัตว์ เพราะผักและผลไม้มีวิตามินหลากหลายซึ่งหากทานครบก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งวิตามินอาหารเสริม และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกทอดหรือมันๆ อย่างกะทิ ลดอาหารที่มีไขมัน ทานแต่อาหารไขมันต่ำ ไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า3,6 และ9 เท่านี้แคลอรี่ที่ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายไม่ว่าจะได้จากโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน อันจะก่อให้เกิดเป็นน้ำตาลในระบบย่อยสลายที่จะส่งผลให้แก่ไวก็จะไม่ถูกสะสมในร่างกาย
**แนะวิธีสังเกต**
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรารับประทานเข้าไปมีผักหรือผลไม้มากกว่ากัน ให้ดูจากอุจจาระในแต่ละวัน หากอุจจาระเป็นสีน้ำตาลอมดำ แสดงว่าทานเนื้อสัตว์มากกว่าผักผลไม้ แต่ถ้าทานผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์อุจจาระที่ได้จะเป็นสีเขียว หรือหากอุจจาระมีสีน้ำตาลอมเขียวแสดงว่าทานผักผลไม้และเนื้อสัตว์สมดุลกัน
2.พักผ่อนให้เพียงพอ
สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะสังเกตไหมว่าหากเราพักผ่อนน้อยเกินไปร่างกายจะรู้สึกเหนื่อยล้าง่าย รอยหมองคล้ำที่ถุงใต้ตาก็จะเด่นชัด นี่ยังไม่นับผิวหนังที่จะเริ่มหย่อนเสื่อม ซึ่งทั้งหมดจะตรงกันข้ามหากเราพักผ่อนร่างกายอย่างเพียงพอครบ 8 ชั่วโมง เพราะทั้งนี้เวลาเรานอนหลับนั้นระบบต่างๆ ในร่างกายจะทำงานน้อยกว่าตอนตื่น เรียกได้ว่าเป็นการพักยกเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปรับสมดุลให้ร่างกาย ดังนั้นร่างกายในช่วงที่หลับจะผลิตเซลล์ผิวใหม่ทดแทน และฟื้นฟูสภาพผิวให้อ่อนวัย
เวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการพักผ่อนก็คือ 4 ทุ่มถึงตี 2 นื่องจากเป็นช่วงเวลาที่แพทย์ระบุว่าร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินทำให้เราหลับสนิท ดังนั้น เราควรจะต้องปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ งดเสียงดังฟังเพลง งดแสงสว่างไฟจากโทรทัศน์และหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งสารพักผ่อนอย่างเต็มที่ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลให้ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ทั้งโกรทฮอร์โมนที่เป็นตัวเสริมสร้างโปรตีนในร่างกายให้เกิดคอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ทั้งหลั่งสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายคงความเต่งตึง
3.อารมณ์ดี มองโลกแง่บวก มีอารมณ์ขัน
หากเราทำได้ในสองข้อแรกเรียบร้อย สิ่งที่ตามมาและควรจะทำให้ได้คือการที่เป็นคนอารมณ์ดี เพราะอย่างที่รู้ๆ ว่า “ความเครียด” นอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว ยังทำให้เราหมองหม่นเพิ่มจากการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด (เพราะกล้ามเนื้อคงรูป หากเราทำสีหน้าเครียดบ่อยๆ) แถมยังเป็นตัวก่อเกิดโรคต่างๆ อันเป็นผลทำให้ระบบร่างกายแปรปรวนอีกด้วย
ฉะนั้น รู้อย่างนี้ เราควรจะทำตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่บวก มีอารมณ์ขัน อารมณ์ดีอยู่เสมอๆ เพราะมื่อสุขภาพจิตดี จิตใจชื่นบาน ร่างกายก็จะส่งผลให้แลดูเด็กผิวพรรณเปล่งปลั่งดูดี และยังจะเป็นที่รักของผู้พบเห็นและใกล้ชิดอีกด้วย
4.ออกกำลังกาย
แน่นอนว่าคุณประโยชน์ของการออกกำลังมีมากมายเหลือคณานับ แต่กระนั้น เราก็ควรระมัดระวังออกกำลังกายแต่ให้พอดีพอเหมาะ เพราะหากร่างกายเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังมากเกินไปจะทำให้ความเต่งตึงของผิวถูกดึงไปใช้ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดอาการหย่อนคล้อยเหี่ยวย่นโดยไม่พึงปรารถนา
เราจึงควรออกกำลังกายให้พอเหมาะกับร่างกาย กล่าวคือโดยทั่วไปร่างกายคนเราควรออกกำลังกายประมาณ 10-30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ3 ครั้ง หรือวันเว้นวัน (บางกรณีออกกำลังกาย10 นาทีแล้วพักยกก็ได้) ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกแต่ละคนไม่มีกฏตายตัวจะตอนเช้าที่มีอากาศค่อนข้างดี มลภาวะน้อย หรือตอนเย็นแดดร่ม ก็ดี เพราะเป็นช่วงที่ระบบกล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้เต็มที่เนื่องจากผ่านการทำงานมาบ้างแล้ว
ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายประเภทหนักๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เสมอไป การออกกำลังกายเบาๆ อย่างการเต้นแอโรบิค เล่นโยคะ เดินเร็ว ก็ช่วยต่อต้านริ้วรอยชะลอวัยที่ทำให้ดูเด็กลงได้
5.ไม่ยุ่งสิ่งเสพติดและของมึนเมา
ตัวการร้ายที่สุดที่จะส่งผลต่อระบบนิเวศบนดวงหน้าและผิวพรรณ เห็นทีจะปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ หากดื่มเกินควร เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่ออายุผิว เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เลือดลมสูบฉีด เพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด ซึ่งนั่นจะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวทำงานหนักขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อร่างกายรับแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำให้ร่างกายขาดน้ำ ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ทำให้ผวหยาบกร้าน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเหล้าแปรสภาพ จะกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมันทำให้เกิดอาการบวมฉุ อ้วนลงพุง หัวล้านได้
ส่วนบุหรี่ไม่ว่าจะสูบควันเสียเองหรือรับควันโดยไม่ตั้งใจ นั่นเท่ากับเรากำลังแก่ลงทุกวินาทีที่หายใจ เพราะถ้าเทียบเคียงให้เห็นง่ายๆ คือ บุหรี่ 1 มวน สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1,014 ล้านโมเลกุล หากลองเอามาคูณหารบวกลบทุกๆ วัน แน่นอนว่าผิวย่อมถูกทำร้าย ทั้งนี้จากผลรายงานการวิจัยส่วนใหญ่พบว่า บุหรี่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย ลดความชุ่มชื้นในผิวหนัง เพราะบุหรี่เป็นตัวทำลายวิตามินซีในร่างกายซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักแห่งความเยาว์วัย