การพยายามลองผิดลองถูกอีกครั้งของซีรีส์เกมมือสังหารระดับตำนาน ที่ยังคงทะเยอทะยานมุ่งมั่นมองหาอะไรใหม่ๆที่ฉีกแตกต่างออกไป ทั้งๆที่ของเดิมที่มีก็ดีอยู่แล้ว
ต้องขอเกริ่นก่อนว่า "แอสซาซินครีด" ณ ปัจจุบันฐานเสียงได้แยกแตกออกเป็นสองกลุ่ม ระหว่างแฟนคลับที่ติดตามซีรีส์นี้มาตั้งแต่เริ่ม กับกลุ่มแฟนรุ่นใหม่ที่เริ่มหันมาสนใจนับแต่ภาค Origins เป็นต้นมา ซึ่งความชื่นชอบของทั้งสองกลุ่มก็ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งชอบการลอบเร้นเน้นใช้สมองหลอกล่อศัตรู ในขณะที่อีกฝั่งติดใจในการต่อสู้ซึ่งๆหน้างัดใช้สกิลเวอร์วังแบบเกมแอ็คชั่นอาร์พีจี ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากบทความรีวิวนี้จะไม่ถูกจริตตรงกับใจของใครบางคน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆ
เหตุผลที่ต้องพูด ก็เนื่องจาก Assassin's Creed Valhalla นี้เป็นอีกหนึ่งภาคที่ทาง ยูบิซอฟต์ ยังคงยึดมั่นในวิถีของเกมโอเพ่นเวิลด์อาร์พีจี ตามรอยความสำเร็จของสองเกมรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ ที่พยายามฉีกหนีไปจากระบบการเล่นลอบเร้นแบบเดิมๆ ซึ่งปัญหาที่ขัดใจเราจริงๆมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่อยู่ตรงที่พวกเขานึกอยากลอกเลียนแบบแปรเปลี่ยนระบบการเล่นที่ตนมีอยู่ให้กลายสภาพเป็นเหมือนกับซีรีส์เกมของคนอื่น ซึ่งเดี๋ยวเราจะร่ายยาวกล่าวถึงเรื่องนี้อีกทีในช่วงท้าย
เนื้อหาของเกมจะบอกเล่าย้อนไปไกลในคริสต์ศักราชที่ 873 ในยุคทองรุ่งเรืองของพวกไวกิ้ง เผ่านักรบใจห้าวหาญที่พร้อมกรำศึกทำสงครามไล่ตีช่วงชิงดินแดนต่างๆมาไว้ในครอบครอง โดยเราจะได้สวมบทบาทเป็น "เอวอร์" (Eivor) นักรบไวกิ้งฝีมือฉมังผู้มีอดีตฝังใจวัยเด็ก ที่มุ่งหวังเพียงต้องการแก้แค้นกอบกู้ชื่อเสียงแทนบิดาผู้ล่วงลับ แต่ชะตากรรมกลับพลิกผันนำพาให้เข้าไปพัวพันกับมหาสงครามระดับใหญ่ยิ่งกว่า ระหว่างฝ่่ายเทมพลาร์และภราดรนักฆ่า ตามสูตรสำเร็จ
ตัวเกมจะดำเนินเริ่มต้นแบบราบเรียบเอื่อยเฉื่อยเหมือนเกมอาร์พีจีปกติทั่วไป ที่ให้เราเดินตะลุยทำเควสต์ไปเรื่อยๆเพื่อเก็บเกี่ยวสะสมค่าประสบการณ์ มาอัพเลเวลปลดล็อคสกิลใหม่ๆให้ตัวละคร โดยระหว่างนี้ตัวเกมจะคอยสอนระบบเบสิคพื้นฐานไปด้วยแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้รีบร้อนกระชับรวบรัดสักเท่าไหร่ จึงอาจทำให้หลายคนอ้าปากหาวรู้สึกง่วงได้ง่ายๆ แต่เมื่อไหร่ที่เราก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนใหม่ช่วงกลางเกมเป็นต้นไป ได้สัมผัสกับตำนานทวยเทพแห่งแอสการ์ด เมื่อนั้นทุกสิ่งที่จำเจก็จะค่อยๆแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นเอง
เป้าหมายหลักของผู้เล่นในฐานะชนเผ่าไวกิ้งผู้รุกราน คือการบุกคืบไล่ตีกินดินแดนขยายอาณาเขตของตนออกไปให้ได้ไกลมากที่สุด โดยนอกเหนือจากพื้นที่หิมะขาวโพลนแถบนอร์เวย์ให้เราได้ตะลุยในช่วงต้นแล้ว ตัวเกมยังมีอีกหนึ่งแม็พหลักขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอคอยผู้เล่นอยู่ นั่นก็คือ เกาะอังกฤษ ที่เราจะได้เดินเรือล่องลำน้ำสำรวจทุกซอกมุม เจอแคมป์เจ้าถิ่นก็จอดเทียบท่าบุกตีปล้นช่วงชิงทรัพยากรของมันมา เพื่อนำกลับไปบูรณะพัฒนาสิ่งปลูกสร้างในค่ายทหารของตนเอง หรือหากเจอคู่กรณีของศัตรูก็สามารถเจรจาต่อรองดึงเข้ามาเป็นพวกได้ ซึ่งเราคิดว่านี่แหละที่เป็นเสน่ห์จุดแข็งของเกมภาคนี้ เหมือนทีมงานทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะทุกฉากสภาพแวดล้อมทุ่งหญ้าป่าเขาริมธารล้วนสัมผัสได้ถึงความละเอียดตั้งใจ ไม่ใช่ก็อปวางซ้ำแบบเมื่อก่อน จนอาจพูดได้ว่านี่เป็นเกมแอสซาซินครีดที่เดินชิลชมวิวได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจที่สุดเท่าที่เราเคยเล่นมา ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาโหลดฉากโหลดวัตถุค่อนข้างนานบนคอนโซลรุ่นเก่าก็เถอะนะ
เมื่อเป็นเกมอาร์พีจี แน่ละเรื่องของระดับเลเวลค่าพลัง Power ก็ย่อมส่งผลกับประสบการณ์ที่ได้รับ แต่ภาคนี้ผลเอฟเฟกต์ของมันจะค่อนข้างเบาบางน้อยกว่าภาคที่แล้วมากนัก เนื่องจากภายในเกมจะมีสกิลพิเศษที่เปิดโอกาสให้เราสามารถย่องสังหารศัตรูเลเวลเหนือกว่าตัวเองได้ รวมทั้งในหน้าจอเมนูปรับแต่งระบบเกมเพลย์ยังมีออพชั่นตัวเลือก Guaranteed Assassination ที่หากเปิดออนไว้ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหน (ยกเว้นเหล่าบอสที่บังคับสู้) เราก็สามารถสังหารมันได้ภายในดาบเดียวเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด ให้อารมณ์คล้ายเกมยุคคลาสิิค แต่อย่าลืมว่าเราต้องลอบเร้นเป็นนินจาให้ได้ตลอดรอดฝั่งนะ เพราะขืนพลาดโดนตรวจจับพบเจอกลางดงศัตรูสุดเขี้ยวเมื่อไหร่มีหวังได้ไปโถงวัลฮัลลาก่อนเวลาอันควร
ทางฟากฝั่งเกมเพลย์นั้นจะถูกต่อยอดมาจากสองภาคก่อนหน้า ที่เน้นล็อคเป้าศัตรูแล้วขยับสืบเท้าเข้าๆออกๆคอยหาจังหวะโจมตีตอนที่มันเผลอ โดยในภาคล่าสุดนี้ได้มีการเพิ่มเติมระบบถืออาวุธทั้งสองข้างเข้ามา เพื่อให้ผู้เล่นประยุกต์ผสมอาวุธสองชนิดเข้าด้วยกันสร้างเป็นคอมโบในแบบฉบับของตัวเอง เช่นมือข้างหนึ่งถือขวานอีกข้างถือโล่หรือจะเลือกถืออาวุธโจมตีทั้งสองข้างก็ได้ไม่ว่ากัน และอีกสิ่งที่ผุดขึ้นมาใหม่นั่นคือเกจ Stamina สีฟ้าที่จะลดทุกครั้งที่เราออกแอ็คชั่นโจมตีหรือแดชหลบหลีกแบบเดียวกับเกม Souls ซีรีส์ ซึ่งฟังดูก็เข้าท่าแปลกดีอยู่เหมือนกันหากพวกเขาตั้งใจนำเสนอมันดีๆ มิใช่ทำออกมาเหมือนงานก๊อปปี้จีนแดง ใช้อาวุธฟาดฟันกันอย่างเด็กกำลังเล่นตบแปะกันอยู่ ซ้ำร้ายตัวเกมเวอร์ชันคอนโซลยังโดนเซ็นเซอร์เลือดลดทอนความดิบเถื่อนรุนแรงลงไปมากจนแทบไม่หลงเหลือความเป็น ไวกิ้ง ให้รู้สึกสักนิดเลย
แม้โฟกัสหลักของภาคนี้จะเน้นหนักไปที่ระบบการต่อสู้ลุยบู๊กันตรงๆ แต่รูปแบบการเล่นสไตล์ลอบเร้นหรือ Stealth ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม แค่ถูกลดบทบาทลงให้เหลือเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกเท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไรอีกต่อไป จะยอมเหนื่อยทนลำบากค่อยๆคืบคลานเก็บทีละตัวก็ได้ แต่สุดท้ายยังไงการยกพลบุกเข้าไปตีตรงๆมันก็เป็นวิธีที่สะดวกสบายและประหยัดเวลามากกว่า แถมไม่ต้องหัวเสียหงุดหงิดกับเหล่า AI สายตาเหยี่ยวที่มักตรวจจับพบเจอตัวเราได้ว่องไวมาก ถึงแม้ว่าเราจะพยายามรักษาระยะห่างแค่ไหน สวมฮูดปิดบังใบหน้าก็แล้ว อาศัยช่วงเวลาหมอกหนาลงจัดก็แล้ว ปีนขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงต่างระดับก็แล้ว ศัตรูเจ้ากรรมก็ยังสังเกตเห็นเราได้ชัดเจนเหมือนอยู่ใกล้รดลมหายใจ ทั้งๆที่เราเองมองเห็นพวกมันแค่เงาลางๆเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่านี่เป็นปัญหาบัคของเกมหรือเป็นจุดประสงค์ความตั้งใจของทีมผู้พัฒนาที่ต้องการสื่อว่าตัวเอกเป็นนักรบที่ไม่ถนัดงานลอบสังหารกันแน่
"Assassin's Creed Valhalla จัดได้ว่าเป็นภาคที่มีลูกเล่นใหม่เยอะพอสมควร แต่สิ่งที่ต่อเติมเพิ่มมานั้นดันตั้งอยู่บนรากฐานเกมเพลย์ลอกเลียนแบบที่ง่อนแง่นไม่มีความมั่นคงแข็งแรง เสี่ยงพังพินาศลงมาได้ตลอดเวลา ซึ่งเราเองก็งงใจว่าทำไมพวกเขาไม่สานต่อเกมเพลย์ต่อคอมโบสุดสนุกของภาค Syndicate หรือหยิบนำความดิบเถื่อนของเกม For Honor มาปรับใช้ ทั้งที่ดูแล้วมันน่าจะดีกว่าการสอดส่องชะเง้อแหงนมองผลงานเกมค่ายอื่นๆแล้วพยายามฝืนเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง"
เกมการเล่น | 6 |
กราฟิก | 8 |
เสียง | 8 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 7.8 |
ข้อดี : เรื่องราวชวนติดตาม, สภาพแวดล้อมงามวิจิตร, การเล่นไล่กินดินแดนน่าสนใจ, แม็พกว้างใหญ่เต็มไปด้วยปริศนาความลับ และตำนานทวยเทพที่มาช่วยแต่งแต้มเติมสีสัน
ข้อเสีย : เนื้อหาความรุนแรงที่ถูกเซนเซอร์, ใช้เวลารอโหลดค่อนข้างนาน, การลอบเร้นในฉากไร้พงหญ้าที่แทบจะเป็นไปไม่ได้, AI ศัตรูสายตาดีแต่งั่งบรรลัย และระบบต่อสู้ที่ไม่ได้ฟีลอารมณ์ใกล้เคียงสมคำ "ไวกิ้ง"
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท ยูบิซอฟต์
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*