xs
xsm
sm
md
lg

NVIDIA Reflex เทคโนโลยีใหม่สู่ชัยชนะ เพื่อนักกีฬาอีสปอร์ต

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



NVIDIA Reflex เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก NVIDIA ที่จะช่วยลดความหน่วง และเพิ่มเฟรมเรตให้สูงขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมที่ลื่นไหลที่สุด ตอบโจทย์เกมเมอร์หรือนักกีฬาอีสปอร์ตที่แสวงหาชัยชนะในทุกสมรภูมิ

ไม่ว่าจะเล่นเกมเพื่อผ่อนคลาย หรือเล่นเกมเพื่อการแข่งขัน ทุกคนก็ต้องการชัยชนะในเกมด้วยกันทั้งนั้น การใช้ฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้เกิดค่าความหน่วงต่ำ มีเฟรมเรตที่สูง ทำให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอมีความคมชัด ต่อเนื่องและลื่นไหลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราคว้าชัยชนะในเกมได้ง่ายขึ้น

ทำไมเฟรมเรตสูงจึงดีกว่า

สำหรับเกมยอดนิยมอย่าง VALORANT, Fortnite และ Apex Legends เกมแนว FPS ทั้งหมดนี้ต้องการอัตราเฟรมสูงสุดและค่าความหน่วงของระบบที่ต่ำที่สุด และถ้าต้องความได้เปรียบในการแข่งขัน คอมพิวเตอร์ที่ใช้ก็ควรจะทำเฟรมเรตในเกมได้ที่ 144 เฟรมต่อวินาที (FPS) หรือมากกว่าด้วยการใช้ GPU ที่เร็วที่สุดในโลกอย่าง GeForce RTX 30 Series

ทั้งสามเกมที่พูดถึงไปนั้นทุกเกมล้วนแต่ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วจากตัวผู้เล่นเพื่อให้ได้ชัยชนะ และการที่จะทำให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็วได้นั้นก็จำเป็นต้องมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่คมชัดและต่อเนื่องด้วยเช่นกัน จากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่าเมื่อเราสามารถทำเฟรมเรตในเกมให้สูงก็จะทำให้เรามองเห็นภาพเหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องและครบถ้วนมากกว่า ทำให้ผู้เล่นสามารถที่จะตัดสินใจในการเล่นได้ดียิ่งขึ้น และเฟรมเรตที่สูงมันก็จะไปสอดคล้องกับการตอบสนองต่อการทำงานของเมาส์และคีย์บอร์ดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย และนั่นก็เป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งเมื่อเราเล่นเกมด้วยเฟรมเรตที่สูง

เฟรมเรตที่สูงจะทำให้มีค่าความหน่วงที่ตำทำให้เราสามารถเห็นภาพที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่า สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ก่อนการเล่นเกมที่เฟรมเรตต่ำกว่า

เฟรมเรตที่สูงช่วยให้การแสดงผลเป็นไปอย่างต่อเนื่องภาพที่เกิดขึ้นจึงมีความคมชัดมากกกว่า ลดอัตราการเกิดภาพซ้อนที่เรียกว่า Ghosting ที่อาจจะทำให้เกิดความสับสนในการเล่นเกมได้
ค่าความหน่วง (Latency) มากจากไหน

ในทุกขั้นตอนการทำงานของเกมหรือกระบวนการต่าง ๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแต่มีค่าความหน่วงหรือ Latency เกิดขึ้นด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน สำหรับในกรณีของเกมค่าความหน่วงนี้หลัก ๆ แล้วจะเกิดขึ้นอยู่สามส่วนคือ Peripheral Latency (เมาส์, คีย์บอร์ด) , PC Latency (ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) และ Display Latency (ส่วนของจอภาพหรือการแสดงผล)

ภาพแสดงค่าเวลาหน่วงทั้งระบบ (System Latency)
แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปอีกก็จะพบว่าในส่วนของ PC Latency นั้นก็จะแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ๆ ได้แก่ Game Latency ที่เกิดจากการการทำงานของซีพียูและเกมเอนจิ้น และส่วนที่สองคือ Render Latency ซึ่งก็คือการประมวลผลของกราฟิกชิปหรือ GPU นั่นเอง

จากขั้นตอนต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการมีค่าความหน่วงหรือ Latency นั้นสามารถเกิดขึ้นมาได้ง่ายมากและอยู่ในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำงานเวลาเล่นเกมเลยก็ว่าได้ และถ้าค่าความหน่วงมีค่าเวลาที่สูงขึ้นก็จะทำให้การเล่นเกมของเราไม่ลื่นไหล อาจจะเห็นภาพกระตุกหรือภาพกระโดดแบบไม่ต่อเนื่องได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดี ทาง NVIDIA จึงได้พัฒนาแนวทางต่าง ๆ เพื่อลดค่าความหน่วงที่เกิดขึ้นนี้ให้น้อยลงเพื่อส่งมอบประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีที่สุด

ลดค่าความหน่วงด้วย NVIDIA Reflex

อย่างที่เราทราบกันโดยทั่วไปว่าเฟรมเรตที่สูงจะมาพร้อมกับค่าความหน่วงที่ต่ำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติแล้วการเพิ่มขึ้นของเฟรมเรตไม่ได้เป็นอัตราส่วนแบบ 1:1 ในการลดค่าความหน่วง เพราะถ้าเราย้อนไปดูสิ่งที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น ค่าความหน่วงมาจากหลายส่วน ไม่ได้มาจากเรื่องของเฟรมเรตเพียงอย่างเดียว ดังนั้นทาง NVIDIA มีความพยายามมาอย่างต่อเนื่องที่จะลดค่าความหน่วงในแต่ละกระบวนการให้น้อยลงเพื่อให้เกมมีการตอบสนองต่อผู้เล่นเกมได้อย่างรวดเร็ว

ถ้าย้อนกลับไปดูภาพด้านบนที่แสดงให้เห็นถึงค่าความหน่วงว่าเกิดขึ้นมาจากขั้นตอนใดบ้าง แต่ภาพด้านบนไม่ได้บอกว่าขั้นตอนใดที่มีค่าความหน่วงมากที่สุด เราลองมาดูภาพต่อไปซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าขั้นตอนใดบ้างที่มีค่าความหน่วงสูง

ภาพแสดงรายละเอียดค่าระยะเวลาความหน่วงของส่วนต่าง ๆ ในระบบ
ในภาพนี้เราจะเห็นได้ว่าในส่วนของอุปกรณ์ต่อพ่วง (Peripheral Latency) อย่างเมาส์รวมไปถึงฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่ออย่างพอร์ต USB นั้นมีค่าความหน่วงที่ค่อนข้างสั้น เพราะไม่ได้มีกระบวนการอะไรมากและทั้งหมดเกิดจากส่วนการทำงานของฮาร์ดแวร์ล้วน ๆ ส่วนในขั้นตอนที่สองคือ PC Latency เราจะเห็นได้ว่าส่วนนี้มีช่วงเวลาค่าความหน่วงสูงที่สุดในระบบ เพราะเป็นการทำงานร่วมกันทั้ง CPU, GPU และเกมเอนจิ้น ส่วนขั้นตจอนสุดท้ายของการแสดงผล Display Latency นั้นจะเห็นได้ว่าใช้เวลานานเช่นกัน แต่ยังไม่มากเท่ากับ PC Latency

ในการลดค่าความหน่วงของ Latency นั้นทาง NVIDIA ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่ชื่อว่า NVIDIA Reflex โดยจะแบ่งเป็น NVIDIA Reflex สำหรับฝั่งผู้ใช้ และ NVIDIA Reflex สำหรับทางฝั่งผู้พัฒนาเกมที่เรียกว่า NVIDIA Reflex SDK เราลองมาทำความเข้าใจ NVIDIA Reflex SDK กับแบบคร่าว ๆ สักนิดเพื่อที่จะได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของ NVIDIA Reflex ที่ผู้ใช้อย่างเราจะได้ใช้งานกัน

ชุดอุปกรณ์ทดสอบค่าความหน่วงของระบบ
NVIDIA Reflex SDK นั้นก็จะประกอบไปด้วยชุดไลบรารีซอฟต์แวร์ที่ใช้พัฒนาร่วมกับเกม รวมไปถึงอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงที่อยู่ในชุด NVIDIA Reflex Latency Analyzer อย่างเช่นจอภาพ G-Sync ที่รองรับอัตรารีเฟรชเรต 360Hz และมีเมาส์รุ่นพิเศษที่ได้รับการรับรองจาก NVIDIA ที่มีประสิทธิสูงและทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ Reflex SDK เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ค่าความหน่วงได้ เมื่อผู้พัฒนาเกมได้ทำการตรวจสอบตัวเลขค่าความหน่วงต่าง ๆ ก็จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อลดค่าความหน่วงต่าง ๆ ลง โดยจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าค่าความหน่วงที่เกิดขึ้นนั้น มาจากส่วนใดบ้าง โดยเฉพาะค่าความหน่วงจากการทำงานของ CPU และ GPU ที่จะต้องปรับแต่งความสัมพันธ์กันระหว่างการใช้งาน CPU และ GPU เพื่อให้ได้ค่าความหน่วงออกมาต่ำที่สุด (ลดช่วงเวลาการทำงานของ Render Queue) ซึ่งกระบวนการวิเคราะห์ต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกทำโดยใช้ Reflex SDK มาช่วยจัดการ

นอกจากนี้ทางฝั่งผู้พัฒนาโดยเฉพาะถ้าเป็นเกมออนไลน์ ก็จำเป็นต้องมีการพัฒนา Network Latency ซึ่งก็คือค่าความหน่วงของการเชื่อมต่อของเกมจากพีซีของผู้ใช้ไปสู่เซิร์ฟเวอร์ของเกมนั่นเอง ซึ่งทางผู้พัฒนาก็จำเป็นที่จะต้องพัฒนา Network Latency ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อส่งมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีให้กับผู้ใช้ด้วยเช่นกัน

ภาพด้านบนนี้แสดงให้เห็นว่าการลดค่าความหน่วงหรือ Latency ในขั้นตอนต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เล่นเกมเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าระบบเดิมที่มีค่าความหน่วงสูง

นอกจากนี้ค่าความหน่วงที่ต่ำยังมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเมาส์ที่ทำให้เราสามารถควบคุมเมาส์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
โดยรวมประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี NVIDIA Reflex ก็คือเพื่อช่วยให้ผู้เล่นเกมได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีที่สุด เพื่อที่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถตอบสนองต่อการเล่นและคว้าชัยชนะมาได้นั่นเอง สำหรับรายชื่อเกมที่รองรับเทคโนโลยี NVIDIA Reflex ในตอนนี้ ประกอบด้วย
• Fortnite
• Valorant
• Destiny 2
• Apex Legends
• Call of Duty: Black Ops Cold War
• Call of Duty: Modern Warfare
• Call of Duty: Warzone

NVIDIA Reflex สำหรับผู้เล่นเกม

หลังจากเรารับทราบเรื่อง NVIDIA Reflex SDK ว่าเป็นอย่างไร และมีเกมใดที่รองรับคุณสมบัติ NVIDIA Reflex แล้วบ้าง เราก็อาจจะคิดไปว่ามีเกมน้อยมากที่รองรับเทคโนโลยีนี้ แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถเปิดคุณสมบัติการใช้งานของ NVIDIA Reflex ได้กับทุกเกม เพราะมีฟังก์ชันการทำงานรวมอยู่ในไดรเวอร์ของกราฟิกการ์ดอยู่แล้ว เพียงแต่เกมที่รองรับ NVIDIA Reflex จะมีการเปิดฟังก์ชันและคุณสมบัติเหล่านี้ในเกมโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องไปตั้งค่าใด ๆ นอกจากนี้บางเกมที่ถูกใส่ไว้ในไลบรารีของ GeForce Experience Optimal Game Settings ก็จะมีการเปิดใช้คุณสมบัตินี้ได้เช่นกัน แต่แนะนำว่าให้ไปเปิดที่คอนโทรพาเนลของไดรเวอร์จะดีที่สุด

เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด NVIDIA Reflex ควรจะใช้งานร่วมกับจอภาพที่รองรับเทคโนโลยี G-Sync และ G-Sync Compatible อย่างไรก็ตามจอภาพทั่วไปที่ไม่รองรับ G-Sync ก็ยังสามารถใช้งานร่วมกับ NVIDIA Reflex ได้เช่นกัน แต่จะต้องปิดคุณสมบัติ VSync ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาภาพเฉือนหรือภาพฉีกขาด ที่เป็นอาการปกติทั่วไปของจอภาพที่ไม่รองรับ Variable Refresh Rate (VRR)

แน่นอนว่าการใช้กราฟิกการ์ดรุ่นใหม่อย่าง GeForce RTX 30 Series ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและสร้างเฟรมเรตที่สูงก็ช่วยลดค่าความหน่วงได้อยู่แล้ว แต่กราฟิกการ์ดรุ่นอื่น ๆ ของ NVIDIA ก็ยังสามารถใช้คุณสมบัติ NVIDIA Reflex ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น RTX 20 Series, GTX 16 Series รวมไปถึง GTX 10, GTX 900 Series ก็ยังใช้คุณสมบัติเหล่านี้ได้เช่นกัน เพียงแต่ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะมากน้อยต่างกันไปตามคุณสมบัติเฉพาะตัวของกราฟิกการ์ดแต่ละรุ่น

เทคนิคการปรับแต่งเบื้องต้นเพื่อให้เล่นเกมด้วยค่าความหน่วงที่ต่ำ

Periferal Latency


Periferal Latency หรือในที่นี้ก็คือเมาส์ เราควรเลือกใช้เมาส์ที่มีค่า polling rate ที่สูงที่สุดเช่น 1000Hz เพราะการใช้เมาส์ที่มีค่า polling rate ที่สูงก็สามารถลดค่าความหน่วยที่เกิดขึ้นในเกมได้

การใช้ค่า Polling rate ที่สูง จะช่วยให้ค่าความหน่วงลดลง
PC Latency


เข้าไปที่ NVIDIA Control Panel, เลือก Manage 3D setting, เลือก Global Setting แล้วเลือกมาที่หัวข้อ Low Latency Mode แล้วไปที่ตัวเลือก Ultra ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ซึ่งจะเป็นการลดค่าความหน่วงของ Pipeline ทั้งหมดของ PC Latency ได้ง่าย ๆ



เพียงแค่ตั้งค่าในไดรเวอร์ของการ์ดจอก็ช่วยลดค่าความหน่วงลงได้แล้ว
Display Latency


ในส่วนของ Display Latency จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรมาไปกว่าการเลือกใช้จอภาพที่มีอัตรารีเฟรชเรตสูง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าต้องการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือจอภาพที่รองรับเทคโนโลยี G-Sync รองลงมาก็คือ G-Sync Compatible (หรือจอที่เป็น Variable Refresh Rate - VRR) การที่จอสามารถปรับอัตรารีเฟรชเรตได้ตามที่กราฟิกการ์ดต้องการ ยังช่วยให้การแสดงผลทั้งการ์ดจอและจอภาพตรงกันลดอาการภาพฉีกได้อีกด้วย

ปรับแต่งประสิทธิภาพ
ย้อนกลับมาที่เรื่องของเฟรมเรตอีกครั้ง เราทราบอยู่แล้วว่าเฟรมเรตที่สูงก็จะช่วยลดค่าความหน่วงได้ ดังนั้นการปรับแต่งประสิทธิภาพการทำงานของกราฟิกการ์ดให้ดีขึ้นรวมไปถึงการปรับแต่งกราฟิกในเกมให้มีความเหมาะสมก็จะช่วยลดค่าความหน่วงได้เช่นกัน

Prefer Maximum Performance
เข้าไปที่ NVIDIA Control Panel, เลือก Manage 3D setting, เลือก Global Setting, เลือก Power management mode, เลือกหัวข้อ Prefer maximum performance การปรับหัวข้อนี้จะช่วยให้ GPU พยายามทำงานด้วย Clock ที่สูงขึ้น (แต่ก็จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของอุณหภูมิและการใช้พลังงานของ GPU แต่ละรุ่น)


ปรับแต่งประสิทธิภาพโดยอัตโนมัติด้วย GeForce Experience

ใน GeForce Experiuence รุ่นล่าสุดที่อัปเดตเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่คือ in-game overlay performance panel โดยใน panel นี้ผู้ใช้สามารถทำการปรับแต่งการทำงานของกราฟิกการ์ดได้ในแบบ real-time รวมไปถึงคุณสมบัติใหม่ Automatic Tuning ที่โปรแกรมจะทำการตรวจสอบคุณสมบัติของฮาร์ดแวร์แล้วทำการปรับค่าการทำงานของ GPU/Mem ให้เราโดยอัตโนมัติ คุณสมบัตินี้ยังใช้ได้เฉพาะ RTX 30 Series เท่านั้น


ส่งท้าย
เทคโนโลยี NVIDIA Reflex เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า NVIDIA ให้ความสำคัญกับรายละเอียดและประสบการณ์การเล่นเป็นอย่างมาก เพราะว่าเฟรมเรตที่สูงนั้นสามารถเพิ่มได้ง่าย ๆ จากกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงที่เพิ่งเปิดตัวมาอยู่แล้ว แต่ NVIDIA ก็ยังไม่หยุดพัฒนาและปรับปรุงองค์ประกอบที่จะทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีที่สุดจากกราฟิกการ์ด GeForce ในรุ่นก่อนหน้าอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่ NVIDIA Reflex นั้นสามารถใช้งานร่วมกับกราฟิกการ์ดรุ่นเก่าได้ไม่ว่าจะเป็น RTX 20 Series, GTX 16 Series และ GTX 10 Series ก็ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มเติมประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับประสบการณ์ของค่าความหน่วงที่ต่ำ และเฟรมเรตในเกมที่สูงขึ้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการติดตั้ง GeForce Experience รุ่นล่าสุด และอัปเดตไดรเวอร์เป็นรุ่นล่าสุดเท่านั้น อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ NVIDIA Reflex เพิ่มเติมได้ที่ https://www.nvidia.com/en-us/geforce/news/reflex-low-latency-platform/
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับข่าวสารวงการเกมครับ*


กำลังโหลดความคิดเห็น