สวมรอยชีวิตมหาเศรษฐีหนุ่ม “โทนี่ สตาร์ค” ภายใต้ชุดเกราะเหล็ก ที่โผล่มาให้บังคับควมคุมเพียงแขน กับประสบการณ์ที่ทำให้คุณต้องครุ่นคิดหนักว่า “จะยิงหรือจะบิน”
จากความสำเร็จของเกม Marvel’s Spider-man ที่เป็นตัวกรุยทางเบิกร่องความสัมพันธ์อันดีระหว่าง โซนี่ และค่าย มาร์เวล เชื่อหลายคนคงแอบตั้งความหวังลึกๆว่า ผลงานเกมซูเปอร์ฮีโร่ลำดับถัดไปของพวกเขา มันต้องออกมาดูดีสมศักดิ์ศรีไม่แพ้กัน แต่ในโลกความเป็นจริงนั้น สิ่งต่างๆมักไม่เป็นไปดั่งที่ใจเราคาดฝัน เมื่อทาง โซนี่ ตัดสินใจหยิบจับตัวละครฮีโร่ที่สาวกทั่วโลกคลั่งไคล้ มาสร้างเป็นเกมเสมือนจริงในความดูแลรับผิดชอบของทีมงานมือใหม่ ภายใต้ชื่อ Marvel’s Iron Man VR
มนุษย์เกราะเหล็กฉบับเกมวีอาร์นี้ จะไม่ได้เหมือนกับภาพลักษณ์ติดตาที่เราเคยเห็นบนจอภาพยนตร์ เพราะตัวเกมจะอิงยึดตามต้นฉบับคอมิคเป็นหลัก ฉะนั้นจงอย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าลีลายียวน หรือน้ำเสียงตบมุกอันมีเสน่ห์ของ “โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์” ในเกมนี้ โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงการเผชิญหน้าต่อสู้กับ Ghost จอมวายร้ายล่องหนปริศนาผู้มาเขย่าโลกของ Iron Man และบีบให้ฮีโร่ของเราเข้าตาจนอย่างหนัก ถึงขั้นต้องขุดตัวตนจอมทำลายล้างที่ถูกฝังลืมไว้ในอดีตกลับขึ้นมาเพื่อรับมือ
เมื่อเป็นเกมวีอาร์ที่ควบคุมผ่านจอย “เพลย์สเตชัน มูฟ” สองอัน การเคลื่อนไหวของเราจึงถูกจำกัดให้บังคับได้เฉพาะแค่แขนทั้งสองข้างของตัวละคร ออกแอ็คชั่นทำหมดทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่การหยิบจับปฏิสัมพันธ์วัตถุสิ่งของ จิ้มเลือกจุดที่อยากวาร์ปไปสำรวจภายในบ้าน หรือแม้ยามศึกต่อสู้กับศัตรู แขนของเราก็ทำหน้าที่ได้สารพัด ทั้งปล่อยไอพ่นควบคุมทิศทางการบิน เล็งยิงอาวุธสุดไฮเทค ไปจนถึงการทุบต่อยตี ซึ่งอันที่จริงมันก็ควรทำได้ทั้งหมดที่พูดมานั่นแหละ แต่บุรุษเหล็กที่พวกเรารู้จักเขาไม่เคยใช้แขนทำทุกสิ่งอย่างในเวลาเดียวกัน แม้ขณะบินด้วยความเร็วสูง มือของเขาก็ว่างสามารถเลือกเล็งยิงศัตรูได้อิสระเสรี เพราะมีไอพ่นด้านหลังและขาคอยควบคุมการบินอยู่แล้ว แต่ในเกมกลับไม่มีจึงค่อนข้างดูทุลักทุเล ต้องชั่งใจเลือกระหว่างการยิงและการบินอย่างใดอย่างหนึ่ง (ถึงแม้จะพยายามใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัว อีกข้างล็อกเป้าหมาย มันก็ไม่ได้ประสิทธิผลเท่ากับการใช้สองมือ) อีกทั้งฟีลอารมณ์ในการเหาะเหินกลางเวหาเอง มันก็ไม่ได้พลิ้วไหวฉับไวเหมือนอย่างที่ควรเป็น ซึ่งประสบการณ์โบยบินที่หากปล่อยมือจากปุ่มไอพ่นเมื่อไหร่เป็นร่วงนี้ มันช่างชวนให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเล่นเครื่อง เจ็ตแพค มากกว่าสวมชุดเกราะเหล็ก ไอรอนแมน
เทียบกับเกม PSVR ด้วยกันแล้ว เกมๆนี้นับว่ามีเนื้อหาให้เล่นค่อนข้างยาวพอตัวประมาณ 7 ชั่วโมงจบ แถมด่านส่วนใหญ่ก็สามารถย้อนกลับมาเล่นใหม่หลายๆรอบ เพื่อเก็บสะสมดาวมาอัปเกรดปลดล็อคอาวุธมหาประลัยใหม่ๆติดตั้งลงไปในชุดเกราะ และเรายังสามารถปรับเปลี่ยนสีสันของมันได้ตามใจชอบจากแบบรุ่นที่มีให้เลือกมากมาย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดแข็งของเกมที่ชวนให้เรายังอยากฝืนทนเล่นมันต่อเลยก็ว่าได้ เนื่องด้วยฉากแผนที่โลกในเกมอันซ้ำซากจำเจ ที่มีแต่ด่านรีไซเคิลเดิมๆซ้ำๆ แวะเวียนไปมาระหว่างบ้านพักตากอากาศที่มาลิบู, ฉากกรุงเซี่ยงไฮ้ และฐานทัพลอยฟ้าของชิลด์ สลับใช้กันอยู่หลักๆเพียงแค่นี้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเกมยังประสบปัญหาทางด้านการดีไซน์ออกแบบฉากต่อสู้ ที่ดูล้าหลังสวนทางกับตีมเทคโนโลยีสุดก้าวล้ำนำสมัยของเกมอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างที่รู้กัน นี่เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ Camouflaj ทีมงานน้อยประสบการณ์ที่มารับจ๊อบทำเกมไอรอนแมนเป็นเกมที่สองของสตูดิโอ ดังนั้นแล้วฉากดวลสู้กับบอส หรือการแก้ปริศนาต่างๆจึงไม่ค่อยสดใหม่ เหมือนพวกเขาไปจดจำลอกเลียนเอามาจากเกมของคนอื่นซะมากกว่า ดังจะเห็นได้จากฝูงศัตรูที่มีแต่หุ่นโดรนหน้าเก่าๆ บอสใหญ่ก็มีไม่กี่ตัวเจอกันจนเบื่อสู้ไม่รู้ผลซักที พอเล่นจบด่านหนึ่งทะลุผ่านไปด่านต่อไปก็ยังคงให้เราต้องมาทำสิ่งต่างๆแบบเดิมๆ เพียงแค่เพิ่มเติมยูนิตศัตรูและจำนวนอุปสรรคในฉากให้มากขึ้นเท่านั้นเอง
"ถึงแม้ Marvel’s Iron Man VR จะมีบางช่วงเวลาทำให้ผู้เล่นรู้สึกตื่นเต้นที่ได้สวมบท 'โทนี่ สตาร์ค' แต่หากพิจารณาภาพรวมประสบการณ์ที่ได้รับจากมันก็ยังคงอยู่ในระดับปริ่มๆเกณฑ์มาตรฐาน ด้วยระบบการบังคับควบคุมและการออกแบบดีไซน์ที่ยังไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะข้อจำกัดของตัวอุปกรณ์เอง ลองคิดเล่นๆดูว่าถ้าพวกเขาใจเย็นอดทนต่ออีกสักนิดรอให้ถึงยุคเครื่อง PS5 ที่ทุกอย่างล้วนไร้สาย สามารถบังคับตัวละครโบยบินได้อิสระรอบทิศ 360 องศาโดยไม่มีสิ่งใดมาพันแข้งพันขา มันคงเป็นอะไรที่แจ่มจะแดมแจ่มว้าวกว่านี้แน่นอน"
เกมการเล่น | 7 |
กราฟิก | 7 |
เสียง | 7 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 7 |
ภาพรวม | 7 |
ข้อดี : ไอเดียตรวจจับองศาการเหยียดแขนเพื่อบินขึ้นบินลงดูน่าสนใจ, นานาคลังของเล่นสุดไฮเทค, ชุดเกราะที่ปรับแต่งได้มีให้เลือกหลายรุ่นหลากสีสัน, และนับเป็นการเปิดประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับสาวก ไอรอนแมน
ข้อเสีย : กราฟิกธรรมดาบ้านๆ, ด่านเก่าถูกรีไซเคิลใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า, ศัตรูไม่วาไรตี้พบเจอแต่หน้าเดิมๆ, ฟีเจอร์ Hover หยุดกลางอากาศที่ทำให้เราตกเป็นเป้านิ่งมากกว่าช่วย และระบบบังคับควบคุมที่ยังไม่เวิร์คเท่าที่ควร
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงคโปร์ (หรือ SIES) และบริษัท Next Generation InnovationNGIN
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*