การกลับมาในแบบไม่ธรรมดาของตำนานเกมอาร์พีจีแห่งยุค เพลย์สเตชัน ที่ทั้งเวอร์วังอลังการ และเสริมแทรกแจกแถมเนื้อหาอัดเข้ามาพูนล้นจาน จนบางทีแอบรู้สึกว่ามันมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ขึ้นชื่อว่าการรีเมคปัดฝุ่นเกมเก่านำกลับมาทำใหม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในวงการเกม ซึ่งตลอดที่ผ่านมาก็มีหลากหลายค่ายที่พยายามหารายได้จากผลงานเกมดังในอดีตของตน ด้วยการปรับโฉมเปลี่ยนลุคใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น และส่วนใหญ่ก็มักจบลงตรงที่เรื่องภาพกราฟิก แต่สำหรับตำนานเกมดังอย่าง Final Fantasy VII แล้ว สิ่งที่ทาง สแควร์เอนิกส์ เลือกตัดสินใจทำ มันกลับไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
ในส่วนเนื้อหาสตอรี่ ยังคงเจาะลึกโฟกัสที่เรื่องราวของแก๊ง Avalanche กลุ่มคนชนชั้นล่างที่รวมตัวกันหมายหยุดยั้งขัดขวาง Shinra Company บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ที่สร้างเตาปฏิกรณ์ Mako Reactor ขึ้นมาเพื่อสูบพลังชีวิตของโลกแล้วแปรเปลี่ยนมันเป็นไฟฟ้าให้คนในเมืองหลวงได้อยู่สุขสบาย ซึ่งภารกิจของพวกเขาเหล่าผู้รักษ์โลก คงมิอาจสัมฤทธิ์ผลได้ตามจุดมุ่งหวัง หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก Cloud Strife พ่อหนุ่มตัวเอกหัวตั้งของเรา อดีตทหารรับจ้างบริษัทชินระ ผู้แปรพักตร์หันมาจับดาบต่อสู้ผดุงความถูกต้องไปพร้อมกับผองเพื่อนสนิทมิตรสหายร่วมอุดมการณ์
ตัวเกมจะไม่ใช้ระบบเทิร์นเบสผลัดกันตีคนละตา รอเวลาใส่คำสั่งแบบเดิมๆเหมือนต้นฉบับ แต่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบเกมเพลย์ แอ็คชั่นอาร์พีจี แบบเต็มตัว ที่มอบโอกาสให้ผู้เล่นบังคับตัวละครออกแอ็คชั่นพื้นฐานต่างๆได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเดิน จะโจมตี จะตั้งการ์ด จะวิ่งหนี หรือกลิ้งหลบ ล้วนสามารถทำได้ตลอดเวลาไม่มีเงื่อนไขใดๆ ยกเว้นแค่ตอนปลดปล่อยท่าไม้ตาย, ร่ายเวทย์ หรือกดใช้ไอเทมเท่านั้น ที่ยังคงต้องรอเวลาให้เกจ Active Time Battle เด้งขึ้นมาเต็มเสียก่อน ซึ่งเจ้าเกจนี้จะยิ่งเพิ่มไวขึ้นหากเราขยันโจมตีใส่ศัตรู และเมื่อใดก็ตามที่เกจ ATB เต็ม เราสามารถกดปุ่ม X เรียกเปิดหน้าต่างเมนูขึ้นมาเพื่อใส่คำสั่ง โดยระหว่างนี้ตัวเกมจะหน่วงชะลอทุกสิ่งอย่างในฉากให้ช้าลงเพื่อให้เรามีเวลาคิดแผนจิ้มเลือกแอ็คชั่นถัดไปได้สบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนเหมือนตอนที่เราเคยเล่นเกมนี้เมื่อ 20 ปีก่อน แต่ถ้าใครรู้สึกไม่ทันใจจะตั้งค่ากำหนดชอร์ตคัตของคำสั่งต่างๆเพื่อไม่ต้องเสียเวลากดเข้าออกเมนูบ่อยๆ ก็ย่อมได้
ด้วยความที่มันแปรเปลี่ยนมาเป็นเกมแอ็คชั่นเต็มรูปแบบ รัวกระหน่ำทำคอมโบฟาดฟันใส่ศัตรูได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด ดังนั้นเพื่อความสนุกและสมดุล เหล่ามอนสเตอร์กระสอบทรายทั้งหลายภายในเกม จึงจำเป็นต้องมีพลังเลือด HP ที่สูงกว่าปกติ โดยเฉพาะบรรดาบอสใหญ่ ที่อึดถึกแสนทนทายาด เพียงแค่การโจมตีปกติธรรมดาคงไม่อาจทะลุผ่านผิวหนังอันหนาเตอะของมันได้ แต่โชคดีที่เกมนี้เราสามารถทำให้มอนฯเลือดเยอะเหล่านั้นอ่อนแอลงชั่วขณะได้ ผ่านฟีเจอร์มาใหม่ที่เรียกว่า Staggered ระบบสตันทำให้ศัตรูเป็นง่อยการ์ดตกชั่วคราว โดยทุกครั้งที่เราโจมตีหรือยิงเวทย์ที่มันแพ้ทาง เกจสีส้มที่อยู่ใต้หลอดเลือดของมันจะค่อยๆสะสมเพิ่มสูงขึ้นจนเต็ม จากนั้นมันก็จะสตันหยุดยืนเป็นเป้านิ่งให้เรารุมยำใส่ทุกอย่างที่มี ซึ่งศัตรูแต่ละตัวนั้นก็จะมีการแพ้ธาตุ รวมถึงจุดอ่อนที่ง่ายต่อการสตันไม่เหมือนกัน และเป็นหน้าที่เราในฐานะคนเล่นที่ต้องค้นหามันให้เจอ
สำหรับสกิลอบิลีตี้ต่างๆของตัวละคร ยังคงอาศัยการติดตั้งลูกแก้ว Materia ลงไปบนอาวุธและอุปกรณ์ที่เราสวมใส่ เพื่อเรียกใช้ความสามารถนั้นๆในระหว่างการต่อสู้ ซึ่งมีตั้งแต่คาถาเวทมนตร์พื้นฐาน เทคนิคแปลกๆใหม่ๆ ไปจนถึงบัฟหลากหลายที่มีประโยชน์ โดยลูกแก้วไหนที่ถูกเราใช้งานบ่อยๆ มันจะมีการขยับอัพแรงค์เพิ่มดาว ปลดล็อคคาถาในระดับที่แรงขึ้น หรือหากเป็นบัฟก็จะมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นตาม ขณะเดียวกันทางฝั่งลูกแก้วประเภท มนต์อสูร ก็มีมาให้เลือกติดตั้งด้วยเช่นกัน แต่ทว่าการกลับมาคราวนี้ พวกมันจะขอยืนหยัดร่วมต่อสู้อยู่เคียงข้างเราเสมือนเป็นสมาชิกคนที่ 4 ในปาร์ตี้ จนกว่าเวลาในการเรียกใช้งานจะสิ้นสุดลง มิได้โผล่มาจัดหนักตูมเดียวแล้วเงียบหายกลับเข้าตำหนัก แบบที่ผ่านๆมาหรอกนะ
ถึงแม้รูปลักษณ์และระบบเกมเพลย์จะพยายามหลอกให้เราหลงเชื่อว่ามันเป็นเกมแอ็คชั่นเรียลไทม์ แต่ความจริงมันก็ยังคงเป็นเกมอาร์พีจี ที่เราต้องคอยออกคำสั่งให้กับสมาชิกทุกคน เพราะหากเรามัวสนใจเพียงแค่ตัวละครที่เราบังคับ สมาชิกคนอื่นๆในทีมที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ AI ก็จะเอาแต่ตั้งการ์ด ยืนบื้อไม่โจมตีหรือทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ส่งผลให้เกจ ATB ขึ้นช้าพาเสียแผนไปหมด ซึ่งวิธีเล่นที่ถูกต้องคือการหมั่นสวิตช์เปลี่ยนสลับตัวละครไปมาอยู่ตลอดเวลา เพื่อใช้ทุกสิ่งที่มีอย่างเต็มที่ และป้องกันไม่ให้ตัวละครใดตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูอยู่ตัวเดียว อันมีความเสี่ยงสูงที่จะนอนยาว โดยเฉพาะแม่สาวซัพพอร์ตเอวบางร่างน้อยอย่าง เอริธ ที่คุณมิอาจสวมวิญญาณเล่นเป็นเธอได้นานเกิน 5 วินาที
กราฟิก ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะมันช่างสวยงามหยดย้อยก้าวข้ามเกมยุคเจเนอเรชันนี้ไปแล้ว ทั้งเอฟเฟกต์ ฉากหลัง 3D ยันผิวหน้าตัวละครที่เห็นชัดถึงรูขุมขน เอาเป็นว่าถ้าใครเคยรับชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น Final Fantasy VII: Advent Children แล้วรู้สึกประทับใจ นั่นแหละคือสิ่งที่คุณจะได้เห็นตลอดตั้งแต่ต้นจนจบในเกมเวอร์ชันรีเมคนี้ ที่คุณภาพความงดงามไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย แถมมันไม่ได้มีดีเพียงแค่ภาพสวยเท่านั้น เพราะงานทางด้าน ดนตรีประกอบ ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน พร้อมกับเสียงพากย์ของเหล่าตัวละคร NPC ประดับฉาก ที่มักขยับปากแอบพูดคุยซุบซิบนินทาให้เราได้ยินทุกครั้งยามเดินเฉียดเข้าใกล้ ไม่ต้องมาขยี้ตานั่งอ่านกล่องข้อความยาวเหยียดให้เสียเวลา
อย่างที่ทราบกันดี ตัวเกมไฟนอลฯ7 ฉบับรีเมคใหม่ ที่ปล่อยออกมาให้เล่นกันก่อน ณ ตอนนี้ มันเป็นเพียงแค่เนื้อหาประเดิมส่วนแรก Part 1 เท่านั้น จากมวลเนื้อหาขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า พวกเขาจะทำมันออกมาทั้งหมดทั้งสิ้นกี่พาร์ทกี่ภาคกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่แฟนๆหายห่วงสบายใจได้ นั่นคือเนื้อหาในแต่ละพาร์ทมันจะไม่ได้ถูกตัดฉับจบลงแบบดื้อๆเหมือนตอนเราเปลี่ยนแผ่นดิสก์สมัยยุคเครื่อง PS1 อย่างแน่นอน หากจะพูดให้เห็นภาพ ก็คงต้องเปรียบเทียบมันกับมหากาพย์ภาพยนตร์เรื่องยาวอย่าง Star Wars หรือ The Lord of the Rings ที่ถึงแม้ศึกสงครามครั้งใหญ่จะยังไม่ได้บทสรุป แต่ในหนึ่งภาคก็มีองค์ประกอบครบถ้วนจบสมบูรณ์ในตัวของมันเอง
แต่อย่างว่า การขยายเนื้อหาพาร์ทแรกในเมือง Midgar ความยาว 5 ชั่วโมงในเกมต้นฉบับ ให้ยืดออกไปเป็นเกมใหญ่ขนาดยักษ์ที่ต้องใช้เวลาเล่นจบอย่างน้อย 30 ชั่วโมงนั้น มันต้องแอบผสมน้ำเปล่าเรื่องราวไร้สาระเข้าไปบ้าง ซึ่งนี่ถือเป็นจุดแข็งงานถนัดของนักพัฒนาชาวญี่ปุ่นเขาอยู่แล้ว ดังจะสังเกตเห็นได้จาก ถนนตรอกซอกซอยในเมืองในสลัมที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาให้ได้เดินสำรวจกันจนเมื่อยน่อง เส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง Sector ก็ยาวคดเคี้ยวเต็มไปด้วยพัซเซิลปริศนา บรรดาไซด์มิชชั่นตามล่าหาคน-สัตว์-สิ่งของที่ถูกอัดยัดมาเต็มเหนี่ยว และความพยายามเน้นย้ำทุกฉากซีนอีเวนท์ เดินผ่านจุดสำคัญผ่านฉากสวยๆงามๆที ตัวละครก็จะขาแข็งขยับเคลื่อนไหวเชื่องช้าโดยอัตโนมัติ นี่ยังไม่นับอุปสรรคสิ่งกีดขวางตามรายทางอย่างสะพานลิงที่ต้องค่อยๆก้าวข้าม รูช่องที่ต้องหมอบต่ำคลานลอด ไปจนถึงพื้นที่แคบๆที่เราต้องแนบลำตัวชิดสอดเข้าไป ซึ่งมีให้เห็นบ่อยมากจนแทบเป็นเรื่องปกติ อะไรต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความเหนื่อยล้าน่ารำคาญแก่ผู้เล่นเป็นอย่างยิ่ง และยังกลบบดบังฟีลอารมณ์ความสนุกเข้มข้นของเกมที่กำลังดำเนินมาดีๆไปอย่างน่าเสียดาย
"ต้องยอมรับว่า Final Fantasy VII นับเป็นไฟนอลฯภาคที่แฟนๆเรียกร้องให้ปัดฝุ่นใหม่กันมานานมากเป็นอันดับต้นๆ และด้วยกระแสดีมานด์ที่พุ่งสูงทะลุเพดาน จึงเป็นโอกาสกอบโกยของค่ายผู้ผลิต ที่หวังดูดเม็ดเงินทำกำไรจากโปรเจกต์นี้ไปนานๆด้วยการแบ่งพาร์ทหั่นก้อนเค้กแยกขายทีละชิ้น ซึ่งเราไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจ แต่สิ่งที่เราวิงวอนร้องขอคืออยากได้อะไรที่มันเนื้อๆเน้นๆหน่อย เพราะไม่อยากเห็นสุดยอดเกมรีเมคระดับตำนานต้องตกม้าตาย เพียงเพราะความหิวกระหายของใครบางคน"
เกมการเล่น | 10 |
กราฟิก | 10 |
เสียง | 10 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 9.99 |
ข้อดี : เกมเพลย์กึ่งแอ็คชั่นกึ่งวางแผนที่ลงตัวสุดๆ, ฉากสู้บอสยิ่งใหญ่ตระการตา, กราฟิกเหนือชั้นกว่าเกมใดๆในยุคปัจจุบัน, ฉากหลังเมืองมิดการ์ที่เก็บครบทุกรายละเอียด และก้าวไปไกลดียิ่งกว่าผลงานต้นฉบับ
ข้อเสีย : เนื้อหาใหม่เสริมใส่เข้ามาแต่น้ำ ไม่อาจรักษาระดับความน่าสนใจได้ตลอดทั้งเกม
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท โซนี่ อินเตอร์แอคทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ ฮ่องกง สาขาสิงคโปร์ (หรือ SIES) และบริษัท Next Generation InnovationNGIN
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*