แนว แอ็คชั่นอาร์พีจี
ระบบ PS4 (ไม่มีเวอร์ชันอังกฤษบน PS3)
เรตเกม PEGI: 12 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
ตัวเกมเวอร์ชันภาษาอังกฤษที่สาวก PS4 ทุกคนต่างรอคอย กับผลงานภาคใหม่ในแฟรนไชส์ดราก้อนเควสต์ที่ฉีกแนวมาในรูปแบบแอ็คชั่นฟันดะสับแหลกสไตล์สามก๊ก แต่ยังคงอบอวลเต็มไปด้วยสเน่ห์มนต์ขลังของต้นฉบับอาร์พีจี
"Dragon Quest Heroes: The World Tree's Woe and the Blight Below" ที่เรานำมารีวิวกันในวันนี้ไม่ได้เป็นเกมใหม่ซะทีเดียว เพราะเชื่อว่าหลายคนที่ทนรอไม่ไหวคงจัดหามาเล่นตั้งแต่สมัยที่ตัวเกมออกเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่นกันแล้ว ซึ่งการกลับมารอบใหม่ในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ และระยะเวลาที่ทิ้งช่วงห่างกันเกือบถึงหนึ่งปีเต็มนั้น มิได้ส่งผลทำให้ความสนุกของเกมลดน้อยหรือจืดจางลงไปเลย
สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้สัมผัส หรือเคยเล่นมาแล้วแต่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น เนื้อเรื่องของเกมนั้น จะกล่าวถึงดินแดนอันสงบสุข Elsaize ที่มนุษย์และเหล่ามอนสเตอร์ต่างใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่วันหนึ่งกลับมีพลังดำมืดลึกลับเข้ามาแปรเปลี่ยนให้เหล่ามอนสเตอร์จู่โจมทำร้ายผู้คน จนเดือดร้อนไปถึง "ลูเซียส" (ญี่ปุ่นเรียก "อาคูโตะ") และ "ออโรร่า" (ญี่ปุ่นเรียก "เมียร์") สองตัวเอกองครักษ์หนุ่มสาวที่ต้องมาเผชิญหน้ารับศึก และออกเดินทางตามหาคนบงการเพื่อแก้ไขให้ทุกอย่างหวนกลับคืนสู่ปกติ
ทางฝั่งระบบเกมเพลย์ หลายคนคงเดาออกได้ตั้งแต่ตอนเห็นชื่อทีมพัฒนา โอเมก้าฟอร์ซ ตอนเปิดเกม โดยองค์ประกอบทุกอย่างภายในเกม ทั้งการบังคับตัวละครที่ดูแข็งๆ การโจมตีต่อคอมโบ รวมถึงการสะสมเกจพลังปล่อยท่าไม้ตายสุดอลังการ ล้วนลอกแบบมาจากซีรีย์มุโซว เพียงแค่เปลี่ยนฉากหลัง, ตัวละคร และเหล่ามอนสเตอร์ให้เข้ากับบรรยากาศดราก้อนเควสต์ ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่สาวก DQ จะได้บังคับตัวละครสุดโปรดออกลีลาบู๊ฟาดฟัน หลังจากที่เคยนั่งอิจฉาแฟนๆไฟนอลฯที่ได้สัมผัส Dissidia กันไปก่อนหน้านี้
แม้ใครหลายคนจะบอกว่ามันเป็นดราก้อนเควสต์แบบฉบับสามก๊ก แต่มันไม่ได้เหมือนกันหมดซะทีเดียวด้วยรูปแบบภารกิจของเกมนี้ที่มีเพียงมิติเดียว คือเน้นป้องกันสิ่งปลูกสร้างหรือตัวละคร NPC จากการโจมตีของเหล่ามอนสเตอร์ที่ทยอยบุกกันมาเป็นระลอก ออกแนวคล้ายๆเกมแอ็คชั่นผสมกับแนวทาวเวอร์ดีเฟนส์วนอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมอนสเตอร์ที่เรากำจัดสามารถนำมันมาเป็นพวก แล้วสั่งให้มันคอยคุมจุดต่างๆได้ ซึ่งทำให้ตัวเกมดูน่าสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่ได้มีเพียงแค่การรัวปุ่มเหมือนอย่างซีรีย์มุโซว แต่จำเป็นต้องใช้สมองคิดวางแผนบริหารมอนสเตอร์ที่มีอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่จะเลือกใช้วิธีนำมอนสเตอร์มาวางเรียงรายกระจุกอยู่ตรงเป้าหมายที่อยากปกป้อง แล้วค่อยออกไปบู๊สนานกันตามใจชอบก็ตาม
และจากชื่อคอนเซปต์ ที่สื่อถึงการรวมตัวของเหล่าฮีโร่ แน่นอนว่าตัวเกมย่อมต้องมีเหล่าผู้กล้ามาให้บังคับเลือกเล่นกันมากมาย ซึ่งเท่าที่นับดูก็ถือว่าเยอะพอสมควร ด้วยตัวละครผู้กล้านับสิบที่ขนมาจากซีรีย์ดราก้อนเควสต์ภาคหลักๆไล่ตั้งแต่ภาค 4 ยันภาค 8 ที่พอมารวมกับตัวละครออริจินอลก็ยิ่งทำให้เกมนี้มีตัวละครที่สามารถเล่นได้เกินโหลเลยทีเดียว ทว่าน่าเสียดายที่ตัวละครส่วนใหญ่ที่มาร่วมแจมด้วยนั้นล้วนเป็นเหล่าพระรองของแต่ละภาค ไม่ได้คัดเอาเฉพาะตัวเอกเน้นๆเหมือนอย่างซีรีย์ Dissidia จึงทำให้เสน่ห์ของเกมดูดร็อปลงไปบ้าง แต่หากมองในแง่ดีมันก็เพื่อความหลากหลาย เพราะถ้าเลือกเอาแต่ตัวเอกที่มีพลังสมดุลทั้งโจมตี-ป้องกันและถือดาบโล่ห์เหมือนกันหมด ตัวเกมคงออกมาดูไม่จืด
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวละครจะเยอะ แต่เวลาเล่นจริงใช่ว่าเราจะสามารถใช้ทุกตัวได้อย่างทั่วถึง เนื่องด้วยข้อจำกัดของเกม ที่บีบบังคับให้ผู้เล่นจัดปาร์ตี้ลงสนามได้สูงสุดเพียงแค่ 4 ตัวละครเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกปล่อยลอยแพให้เลเวลขึ้นช้าตามหลัง 4 ตัวหลัก โดยในระหว่างการต่อสู้นั้น เราสามารถเลือกเปลี่ยนสลับไปบังคับตัวละครในปาร์ตี้ทุกตัวได้ตลอดเวลา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพราะหากมัวแต่หวังพึ่งให้คอมฯบังคับเองอาจไม่ทันกิน เนื่องจากระบบ AI ในเกมนี้ค่อนข้างเก่าแก่โบราณพอๆกับเกม FF Type 0 เลยทีเดียว
"ดราก้อน เควสต์ ฮีโร่ส์" นับเป็นภาคที่เล่นง่ายที่สุดในซีรีย์ ดังนั้นคนที่ไม่เคยแตะต้นฉบับอาร์พีจีมาก่อนก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะไม่ว่าใครก็สามารถหยิบมันขึ้นมาแล้วเล่นได้ทันที อีกทั้งรูปแบบการดำเนินเกมก็ค่อนข้างเป็นเส้นตรง เสร็จจากภารกิจปุ๊บก็ขึ้นยานปั๊บ ไม่ต้องอ้อยอิ่งสำรวจฉาก ลุยดันเจี้ยนหาของลับของแรร์ให้ยุ่งยาก โดยของทุกอย่างที่จำเป็นทั้งร้านค้า หม้อสร้างไอเทม เครื่องประดับ ที่รับเควสต์ รวมไปถึงจุดเซฟ ล้วนถูกยกมาไว้บนยานเหาะหมดแล้ว เรียกว่าเป็นความสะดวกสบายของเด็ก บนความจำเจของผู้ใหญ่ก็คงได้ แต่ถึงแม้ความไม่อิสระของเกม กับภารกิจป้องกันซ้ำๆซากๆจะชวนให้น่าเบื่อหน่ายยังไง การที่ได้เห็นเหล่าฮีโร่ตัวโปรดออกมาวาดลวดลายปล่อยท่าไม้ตายเอฟเฟกต์งดงามตระการตา ก็อาจทำให้เราอภัยจุดบกพร่องเหล่านี้ไปได้
ว่ากันตามตรงแล้ว เนื้อเรื่องจริงๆของเกมนั้นแทบไม่มีอะไรให้บอกเล่ามากมายนัก เพียงแค่เปิดแผนที่ขึ้นมาก็พอเดาออกได้ทันทีว่าเรื่องมันจะไปจบที่ตรงไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณมันสมองและไอเดียไร้สาระของคนญี่ปุ่น ที่สามารถหยิบจับเรื่องราวอันแสนสั้นมาต่อความยาวสาวความยืดจนกลายเป็นการผจญภัยที่กินเวลายาวนานถึง 30 ชั่วโมง และสำหรับใครที่ยังเอียนไม่พอ ภายในแผ่นเกมเวอร์ชันอังกฤษนี้ยังได้บรรจุเหล่าเควสต์ DLC ทั้งหมดที่เคยปล่อยโหลดมาให้เล่นกันแบบฟรีๆ ซึ่งถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้เราอยากทนนั่งเก็บเลเวลต่อเพื่อไปเจอกับเหล่าบอสลับสุดโหด แถมบางตัวยังสามารถปลดล็อคมาใช้ได้ด้วยอย่างราชาปีศาจ "ปิซาโร่" ที่ชวนให้นึกถึง "เซฟิรอธ" ของไฟนอลแฟนตาซียิ่งนัก
แม้ตัวเกมจะไม่สามารถรักษาความรู้สึกสดใหม่ของผู้เล่นได้ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบ แต่หากมองในฐานะที่มันเป็นก้าวแรกของซีรีย์ที่หันมาสู่แนวแอ็คชั่น "Dragon Quest Heroes" นั้นถือว่าทำออกมาได้ดีไม่ได้น่าเกลียดอะไรนัก และคงดูใจร้ายเกินไปหากลดคะแนนเพียงเพราะทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราหวัง
เกมการเล่น | 8 |
กราฟิก | 9 |
เสียง | 9 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 9 |
ภาพรวม | 9 |
ข้อดี : แอ็คชั่นต่อคอมโบที่สนุก, เอฟเฟกต์อลังการน่าตื่นตาตื่นใจ, เหล่าฮีโร่จากซีรีย์ดราก้อนเควสต์ และรวมเควสต์ DLC แถมมาให้ในแผ่น
ข้อเสีย : รูปแบบภารกิจที่ชวนเบื่อง่ายหน่ายเร็ว
Shin
สนับสนุนบทความรีวิวโดยบริษัท Next Generation InnovationNGIN
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*