ระบบ Playstation 4
เรตเกม PEGI: 18 เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
เอ็กคลูซีฟเกมชูตติ้งฟอร์มยักษ์จากฝั่งโซนี่ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงแพลตฟอร์มคลื่นลูกใหม่ในฐานะเกมเปิดตัวเพลย์สเตชัน 4 ที่ได้ยกเอาขุมพลังในตัวเครื่องคอนโซลมาอวดประชันกันอย่างสุดฤทธิ์ พร้อมด้วยลูกเล่นใหม่สุดแจ่มบนจอยดูอัลช็อคโฟร์
สำหรับเหตุการณ์ในเกมภาคนี้ คงต้องย้อนเรื่องราวกลับไปในช่วงตอนจบของเกมภาคสาม เมื่อทางเราฝ่าย ISA ได้ตัดสินใจยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่ยานหลบหนีของ Stahl ที่ภายในขนบรรทุกอาวุธมหาประลัย Petrusite เอาไว้เต็มลำ จนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศดาว Helghan และเป็นสาเหตุที่ทำให้ดาวของพวก Helghast ไม่สามารถดำรงอยู่อาศัยได้อีกต่อไป ซึ่งทางฝั่งผู้ชนะสงครามอย่าง ISA เองต่างก็รู้สึกผิดจึงออกมาแสดงความรับผิดชอบ ประกาศทำสนธิสัญญาสงบศึกยอมสละดาว Vekta ของตนครึ่งหนึ่งเพื่อให้พวก Helghast ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ร่วมภายในดาวดวงเดียวกัน โดยมีเพียงกำแพงยักษ์ "The Wall" ที่เป็นเหมือนพรมแดนคอยแบ่งกั้นกลางระหว่างคู่อริทั้งสอง
ถัดจากนั้นอีก 30 ปีต่อมา ผู้เล่นในฐานะตัวละครเอกของเกม "Lucas Kellan" นายทหารหนุ่มสังกัดกองกำลังพิเศษใต้ดิน Shadow Marshal ผู้มีอดีตอันขมขื่นในวัยเด็ก หลังพ่อของเขาผู้เป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองชาว Vektan ที่ไม่มีปัญญาอพยพหนีไปจากพื้นที่ได้ทันก่อนที่พวก Helghast จะมาถึง ได้ถูกสังหารโหดต่อหน้าต่อตา จนกลายมาเป็นแรงผลักดันให้เขาลุกขึ้นมาต่อต้านเพื่อทวงคืนแผ่นดินบ้านเกิด ไปพร้อมกับการปลดแอกพลเมืองชาว Vektan จากการโดนกดขี่ข่มเหงของเหล่าผู้มาเยือน
ตัวเกมจะให้เราได้สวมบททหารหนุ่มผู้นี้ ออกปฏิบัติภารกิจแทรกซึมสืบหาข้อมูลอย่างลับๆ จนได้ล่วงรู้แผนก่อการร้ายของพวก Helghast ที่เตรียมแผนบุกโจมตีตลบหลัง และการกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งของผู้นำจอมกบฏจอมวายร้ายจากภาคก่อน โดยที่โหมดแคมเปญภายในเกมนั้นไม่สั้นไม่ยาวราวๆ 10 ชั่วโมงจบ ซึ่งภารกิจต่างๆจะนำพาเราเดินทางข้ามกำแพงไปมาสองดินแดนระหว่างเขต Vekta City กับฝั่ง New Helghan ที่มีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ต่างกันลิบลับ แถมยังมีภารกิจที่เราต้องขึ้นไปทำบนอวกาศ และไปไกลจนถึงดาวบ้านเกิดของพวก Helghast ที่ดูเปลี่ยนไปมากจากคราวก่อน
ด้วยความที่ตัวเอกสังกัดหน่วยปฏิบัติการลับ จึงทำให้รูปแบบเกมเพลย์ในภาคนี้ออกไปในทางลอบเร้นเน้นฉายเดี่ยวแบบข้ามาคนเดียวถล่มทั้งกองทัพ ผิดกับภาคที่ผ่านๆมาที่เป็นสงครามใหญ่ให้ร่วมรบไปกับเพื่อน แต่อย่างน้อยตัวเราในภาคนี้ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเพราะยังมีหุ่นโดรนบินได้สารพัดประโยชน์ OWL มาเป็นเพื่อนรู้ใจคอยแก้เหงา โดยที่เราสามารถออกคำสั่งมันด้วยฟีเจอร์แผงสัมผัสทัชแพดบนจอยดูอัลช็อค 4 ให้เราใช้นิ้วจิ้มลากขึ้น ลง ซ้าย ขวา เพื่อสั่งให้มันยิงโจมตีศัตรู, สร้างบาเรียป้องกัน, ช็อคสตันศัตรู และปล่อยลวดโหนสลิง แถมยังสามารถสั่งให้มันแฮคคอมพิวเตอร์ หรือช่วยชุบชีวิตเวลาตายได้ ในขณะที่ฝั่งตัวเราเองก็มีสกิลใหม่ติดตัวเพิ่มเข้ามาอย่างโซนาร์สแกนหาศัตรูใกล้เคียง และเข็มอะดรีนาลินเอาไว้ฉีดเพื่อบูสต์เพิ่มความแข็งแกร่งว่องไวชะลอเวลาได้ชั่วขณะ ซึ่งนอกเหนือจากทัชแพดแล้วตัวเกมยังใช้ประโยชน์จากแถบไลท์บาร์ของดูอัลช็อค 4 ในการเปลี่ยนสีเพื่อบ่งบอกสถานะค่าพลัง HP และที่ชอบสุดๆคือเวลาเราเก็บบันทึกเสียงที่ตกอยู่ภายในฉากได้จะมีเสียงคนพูดดังออกมาจากลำโพงบนตัวจอย (หากไปใช้กับเกมแนวสยองขวัญคงขนลุกน่าดู)
ซึ่งบรรดาอาวุธปืนในเกมภาคนี้ล้วนถูกปรับปรุงจากเดิมให้ดูล้ำสมัยขึ้นตามยุคสมัยที่แปรเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนพื้นฐานประจำตัวเราที่กระบอกเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนปืนต่างดาว และการที่มันเป็นปืนบังคับจึงทำให้ไม่สามารถโยนทิ้งยามหมดกระสุนได้ ทำให้เวลาเล่นเราไม่ค่อยอยากหยิบปืนนี้ขึ้นมาใช้เท่าไรหากไม่จำเป็น กลับกลายเป็นว่าพึ่งแต่ปืนของศัตรูที่มีให้เก็บตามฉากแทน ส่วนตัวภารกิจเองก็สร้างความสับสนงงงวยให้ผู้เล่นมิใช่น้อย เพราะมีทั้งภารกิจหลักและภารกิจรอง แถมบางภารกิจยังไม่แสดงจุดมาร์คตำแหน่งปล่อยให้ผู้เล่นเดินสำรวจหาเอาเองในฉากกว้างๆไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร นอกจากนี้ตัวหุ่นโดรนคู่ใจเองแทนที่จะช่วยก็ดันมาเป็นภาระให้กับผู้เล่น เพราะสั่งไม่ได้ดังใจศัตรูอยู่ไกลหน่อยก็โจมตีไม่ได้ เวลาที่เราต้องการกลับหายหน้า หรือกว่าจะกางโล่ห์ตัวเราก็ลงไปนอนแล้ว แถมตัวเกมยังพยายามยัดเยียดภารกิจที่ต้องพึ่งเจ้าหุ่นมาอย่างเยอะ จึงทำให้การเล่นเกมนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไร
สิ่งหนึ่งที่น่าชมเชยในภาคนี้ คือทางทีมผู้พัฒนาได้ตัดสินใจเพิ่มอัตราเฟรมเรตของเกมให้สามารถแสดงผลภาพระดับความละเอียด 1080p ที่ 60fps ได้ตามเสียงเรียกร้องของแฟนๆ ถึงแม้อาจจะมีแกว่งบ้างในบางฉากเพราะไม่ได้ล็อกที่ 60 ตลอดเวลา แต่ค่าเฟรมเรตต่ำสุดก็ไม่ลงไปไกลเกิน 30 ที่สำคัญคือจะไม่มีอาการกระตุกใดๆออกมาให้เห็นไม่ว่าจำนวนศัตรูหรือเกิดการระเบิดเยอะแค่ไหนทั้งในโหมดออฟไลน์และออนไลน์ อีกทั้งยังมีความสวยงามของแสงเงา พื้นผิวตัวละครและฉากที่ทำออกมาได้เนียนแน่นไม่มีเหลี่ยมหยัก และโดดเด่นที่สุดคงเป็นเรื่องเอฟเฟกต์อนุภาคขนาดเล็กอย่างเศษกระจกแตก ใบไม้พริ้วตามสายลม หรือสะเก็ดไฟต่างๆที่มีการเคลื่อนไหวแบบไดนามิค
และมาถึงส่วนสุดท้ายกับโหมดมัลติเพลย์เยอร์ ตัวเกมสามารถรองรับผู้เล่นได้สูงสุดพร้อมกัน 24 คน แบ่งทีมสู้กันโดยมีโหมดหลักๆอย่างทีมเดธแมทช์ และวอร์โซนให้เล่นกัน แต่สำหรับใครที่ต้องการเล่นในเงื่อนไขรูปแบบอื่นๆ ตัวเกมก็ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างโหมดเฉพาะตัวที่ตนชอบได้ โดยสามารถกำหนดได้เกือบทุกสิ่งอย่างทั้งกติกา แม็พ จำกัดอาวุธ และจำนวนผู้เล่น ซึ่งในโหมดนี้เราจะได้สัมผัสทดลองปืนใหม่ๆที่ไม่มีในโหมดเนื้อเรื่อง โดยเราสามารถใช้อาวุธปืนได้ทั้งสองฝ่าย แถมยังปลดล็อคมาให้ทุกกระบอกตั้งแต่เริ่ม เหลือหน้าที่ให้ผู้เล่นแค่สะสมคิลปลดล็อคของแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังแอบรู้มาว่าทางทีมงานได้ยกระดับเฟรมเรตในโหมดออนไลน์ให้สูงกว่าปกติเพื่อให้จังหวะการบวกกันของผู้เล่นไม่มีสะดุด และมันส์หยดยิ่งกว่าโหมดแคมเปญ ซึ่งถือว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปกับการสมัครสมาชิกเพลย์สเตชันพลัส
"คิลโซน ชาโดว์ฟอลล์" ยังคงเจริญรอยตามเกมรุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้ และถือเป็นอีกหนึ่งผลงานตามแบบฉบับลายเซ็นของสตูดิโอ Guerrilla Games ที่ยังคงเน้นเรื่องคุณภาพกราฟฟิกมาก่อนเกมเพลย์ แต่ยังดีที่โหมดออนไลน์สามารถแก้ตัวแทนได้ พร้อมด้วยการนำเสนอในมุมมองใหม่ซึ่งต่างจากภาคก่อนๆที่แสดงให้เห็นเพียงด้านเลวร้ายของพวก Helghast แต่มาคราวนี้กลับเลือกสะท้อนจิตใจของฝ่ายตรงข้ามที่เราเห็นเป็นศัตรูว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายก็หัวเราะได้ร้องไห้เป็นเหมือนกับเรา หากเข้าใจหัวอกซึ่งกันและกันก็สามารถหาทางออกอยู่ร่วมกันได้ เพราะโลกใบนี้มันใหญ่เกินกว่าจะเป็นของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง
เกมการเล่น | 7 |
กราฟิก | 9 |
เสียง | 9 |
ความคิดสร้างสรรค์ | 8 |
ภาพรวม | 8 |
ข้อดี : ภาพสวยสมยุคเน็กซ์เจน, เกมเพลย์สมจริงยิงสะใจ, งัดลูกเล่นบน PS4 ออกมาได้ครบ และโหมดออนไลน์ที่ปรับแต่งได้อิสระ
ข้อเสีย : รูปแบบภารกิจที่คลุมเครือ, หุ่นโดรนง่อยไร้สมรรถภาพ, ตัวเกมเน้นซุ่มและสำรวจฉากมากเกินไป
ปู่ชิน
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจManagerGameทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*