นักวิเคราะห์ฟันธง "เกมเมอร์พันธุ์แท้" คือหัวใจสำคัญของธุรกิจอุตสาหกรรมเกม เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีความภักดีและเต็มใจที่จะซื้อเกมใหม่ที่ชื่นชอบ ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไร
นักวิเคราะห์ด้านวีดีโอเกมจากสถาบัน IDC ระบุว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมเกมได้รับโอกาสที่ดีกว่าธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นนักเล่นเกมตัวจริง จะมีความภักดีและเต็มใจที่จะซื้อเกมใหม่ที่ชื่นชอบ ถึงขนาดที่จะยอมรอต่อคิวนานหลายชั่วโมงเพื่อซื้อเกมใหม่ในวันแรกที่เริ่มวางขาย และตราบใดที่กลุ่มคนเหล่านี้ยังคงมีรายได้หรือมีงานทำ พวกเขาจะยังคงเดินหน้าซื้อเกมต่อไป
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีผู้คนมากมายที่ไม่ได้เติบโตมาในยุคสมัยของการเล่นวีดีโอเกม แต่หลังจากที่บริษัทนินเท็นโดได้วางจำหน่ายเครื่องคอนโซล Nintendo Wii ในปี ค.ศ.2006 ซึ่งมีความสนุกสนานและง่ายต่อการเล่น ทำให้ตลาดผู้บริโภคของธุรกิจอุตสาหกรรมเกมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์ก็เริ่มที่จะมุ่งเป้าไปที่การผลิตเกมเพื่อรองรับกลุ่มผู้เล่นหญิงเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ยอดขายในธุรกิจเกมเฟื่องฟู
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่ากลุ่มผู้บริโภคที่เป็น "เกมเมอร์พันธุ์แท้" คือผู้ที่ค้ำจุนธุรกิจอุตสาหกรรมเกมอย่างแท้จริง โดยนาย ไมเคิล แพทเตอร์ นักวิเคราะห์จากสถาบัน "เว็ดบุช มอร์แกน" ระบุว่า บรรดาเกมเมอร์พันธุ์แท้คือกลุ่มที่ซื้อไปกว่าครึ่งของตลาดวีดีโอเกมทั้งหมด
"พวกเขาคงจะมีฐานะที่มั่นคง หรือบางทีพวกเขาอาจจะมีฐานะที่ยากจนก็ได้ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยแสดงให้เราเห็นถึงกำลังซื้อที่ถดถอยลงเลย" ไมเคิล แพทเตอร์ กล่าว
เกมใหม่ที่ออกวางจำหน่ายในปัจจุบันอย่าง Fallout 3 , Fable II , Gears of War 2 ฯลฯ ล้วนแต่มีราคาสูงทั้งสิ้น ซึ่งในกรณีที่กลุ่ม "เกมเมอร์พันธุ์แท้" ขัดสนเรื่องเงิน พวกเขาจะใช้วิธีเช่า แลกเปลี่ยน หรือซื้อสินค้ามือสอง และหากเป็นช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ แทนที่พวกเขาจะลดรายจ่ายในการซื้อเกม พวกเขาเลือกที่จะลดรายจ่ายที่ใช้ในการเที่ยวผับบาร์หรือร้านอาหารราคาแพงแทน
ทั้งนี้ ผลสำรวจพบว่าชาวอเมริกันใช้เงินไปกับการซื้อเกมเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จากรายงานของ NPD Group ซึ่งเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเมื่อปี ค.ศ.2007 มีรายงานว่าเกมเมอร์ใช้เงินซื้อเครื่องคอนโซล , ซอฟท์แวร์เกม , อุปกรณ์เสริม รวมกันเป็นเงินถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ และในปีนี้ NPD Group คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22,000 ล้านดอลลาร์
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
สำนักข่าวเอพี