xs
xsm
sm
md
lg

ทำลายหลักฐาน หรือโกง? “เม พรีมายา” ร่ำไห้แฉ (อดีต) เพื่อนฮุบธุรกิจคลินิก ข้องใจปิดบริษัท ทั้งที่กำไร 50 ล้านต่อเดือน (คลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เม พรีมายา” เจ็บจึ๊กลงหัวใจกลายเป็นบุคคลไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ทั้งที่เพื่อนฮุบธรกิจ Dermatige คลินิก ข้องใจฟันกำไรเดือนละ 50 ล้าน ทำไมถึงปิดบริษัท ร่ำไห้ตั้งคำถาม ทำลายหลักฐาน หรือ โกง? ลั่นเป็นบทเรียน ความไว้ใจใช้ไม่ได้กับธุรกิจ เงินทำให้ทุกอย่างพัง แค่อยากให้ทุกอย่างจบอย่างยุติธรรม

ต่างฝ่ายต่างออกมาโต้แย้งกันดุเดือด สำหรับกรณีพิพาท ระหว่าง “เม พรีมายา” หรือ “พิชญ์นรี ตันติวิทย์” กับหุ้นส่วน Dermatige Aesthetice ธุรกิจคลินิกความงาม ซึ่งรีแบรนด์มาจาก PRIMAYA คลินิก โดยเมออกมาตั้งคำถามว่าตนเองถูกฮุบบริษัท เพราะหมดผลประโยชน์หรือไม่

เหตุตนมีคดีความปี 2566 หุ้นส่วนได้ขอให้ตนออกจากตำแหน่งกรรมการและฝากหุ้นทั้งหมดไว้ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อบริษัท ต่อมาหุ้นได้ถูกโอนและมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่ยังเป็นบริษัทเดิม ซึ่งหลังคดีความสิ้นสุด เมได้พยายามขอตรวจสอบเอกสารทางบัญชีและการเงินของบริษัทตามสิทธิ์ แต่ถูกปฏิเสธมาตลอด เมได้แจ้งความกล่าวหายักยอกกับหุ้นส่วนอีก 3 คนและพร้อมสู้คดีในศาล

ขณะที่ Dermatige ปฏิเสธข้อกล่าวหา อ้างเป็นข้อมูลเท็จ ถูกเมบิดเบือนความจริง การที่เมมีปัญหาคดีความส่วนตัว ได้สร้างความเสียหายและทำให้ยอดขายตกต่ำ จึงต้องมีการยุติกิจการคลินิกเดิม ตอนนี้ศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่มีมูลแล้ว 1 คดี หุ้นส่วนได้ยื่นฟ้องเมข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน 

 ล่าสุดได้เจอตัว เม พรีมายา เจ้าตัวได้เผยถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า...

“เรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องราวที่ผ่านมาช่วงเวลานึง ที่ออกมาโพสต์คือข้อเท็จจริง ทุกอย่างที่พูดไป เมก็อยู่กับความจริง ไทม์ไลน์จริง ข้อเท็จจริงทุกอย่าง อยากขอบคุณทุกกำลังใจ และความเชื่อมั่นที่มีให้ตัวเม

เรื่องนี้ใช้เวลาจากความเสียใจสู่การต่อสู้ต่อความยุติธรรมที่เราสมควรได้รับในฐานะเพื่อนคนนึง ถ้ามันไม่เหลือแล้ว ก็ในฐานะผู้ถือหุ้นแล้วกันตามกฎหมาย ซึ่งเมไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความยุติธรรมในการออกมาครั้งนี้

วันนี้การเกิดข้อพิพาทก็เกิดกับคนดัง คนมีชื่อเสียงทั้งสองฝ่าย สิ่งที่เมจะไม่ทำแล้วจากบทเรียนต่างๆ ในชีวิต คือถ้าเมรู้อะไรไม่ดี เมไม่ทำอยู่แล้ว ที่เมกล้าออกมาพูด เพราะเมเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ ถึงได้ออกมาตรงนี้”

เผยจุดแตกหัก ไม่ได้เกิดจากคนรวยทะเลาะกัน แต่เป็นความไว้ใจที่มอบให้ในฐานะเพื่อน ตั้งข้อสังเกต ปิดบริษัทที่ฟันกำไรเดือนละ 50 ล้าน ทำลายหลักฐานหรือโกง?
ปัญหานี้ไม่ใช่คนรวยทะเลาะกัน ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ จุดแตกหักน่าจะเป็นความไว้ใจที่เราได้มอบให้กับเพื่อนคนนึง พี่คนนึง แล้วเราตั้งข้อสังเกตเห็นว่ามีการบริหารที่ไม่โปร่งใสเกิดขึ้นหรือเปล่า มีการโกงกันหรือเปล่าตรงนี้เมไม่สามารถตอบได้ แต่สิ่งที่เมพยายามขอตลอดมา คือการตรวจสอบบัญชีในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ถ้ามันไม่มีอะไร เมเองในฐานะเพื่อนหรือผู้ถือหุ้น ควรสามารถเข้าถึงรายรับรายจ่ายบริษัทได้แล้ว แต่วันนี้เมไม่สามารถเข้าถึงอะไรเลย

เมพยายามส่งหนังสือเข้าไปตรวจสอบบัญชีในฐานะผู้ถือหุ้น เพราะตอนนี้เพื่อนมันไม่เหลือแล้ว เมก็โดนข้อหาบุกรุกมา จริงๆ เมมีสิทธิ์ตามกฎหมายทุกอย่างในการรับรู้ข้อมูลตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้มา จนสุดท้ายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เขาเพิ่งปิดบริษัท ถ้ามันไม่มีความผิด หรือไม่ได้ตั้งใจทำลายหลักฐาน เมมองว่าก็คงไม่ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ ไกล่เกลี่ยแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต แล้วจบลงด้วยดีซะด้วยซ้ำ เพราะธุรกิจมีกำไร รายได้เดือนตั้ง 50 ล้าน ทำไมไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ก็คือจบกัน มันมีทางออกเยอะแยะมากมายจริงๆ

แต่เหมือนการกระทำที่ผ่านมา ทำให้เมตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามได้ว่า นี่คือสาเหตุนึงของคนพยายามโกงไหม หรือพยายามทำลายหลักฐานหรือเปล่า เมตั้งคำถามง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ

ถามว่าปิดบริษัททำไม ทั้งที่รายได้มหาศาล เมก็ตั้งคำถามอยู่ ถ้าคนเราอยู่กับข้อเท็จจริง ความโปร่งใส มันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ตรงนี้หรอก เมเคยได้ยินเขาพูดว่าถ้าเขาเอาบัญชีให้ศาลดู ฝั่งเมก็ต้องฟ้องเขาสิ มันยิ่งทำให้เมอยากรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบัญชีบริษัทซะด้วยซ้ำ”

ต้องการยุติปัญหา เจรจากันอย่างยุติธรรม
“ตามกฎหมายเขาปิดไม่ได้ ถ้าหุ้นส่วนไม่ได้รับการเชิญเข้าประชุมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาใช้วิธีอะไร ทำไมเมหรือผู้ถือหุ้นแทนไม่รู้อะไรเลย เพราะจริงๆ การยุติปัญหาคือการเจรจา ไกล่เกลี่ยกัน ให้ยุติธรรมที่สุด แต่ทำไมวันนี้เขาถึงสามารถจัดประชุมได้โดยไม่เชิญผู้ถือหุ้นหรือให้ผู้ถือหุ้นทราบ เมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร”

ปัดยอดขายตกเพราะข่าวฉาวของตน รับผิดชอบเท่าที่ตนจะทำได้แล้ว
“ข่าวที่บอกว่าเมมีข่าวด้านลบ ทำให้ต้องปิดบางสาขา ต้องแจ้งว่าไม่เป็นความจริงก่อน จริงๆ ตัวบริษัทที่เราก่อตั้งขึ้น มีบางช่วงเวลาเราขยายกิจการอย่างรวดเร็ว พอผลประกอบการไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย ก็ปิดตัวลง ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นข่าวเลยค่ะ นักธุรกิจก็มองว่าขยายสาขาไป มีรายจ่ายมากกว่าผลกำไรที่เราคิดไว้ ก็ปิดตัวลงนานแล้ว ไม่ใช่ช่วงไทม์ไลน์ที่เรามีปัญหา

ถ้าถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเมยอมรับไหมว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ตัวเมยอมรับนะคะ ไม่ได้อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครเลย เมก็แสดงความรับผิดชอบไปไม่น้อยจริงๆ ไม่ว่าจะทำตามที่เขาขอ เช่น ให้ออกจากหุ้นก่อน หรือให้ออกจากบริษัทก่อน เมก็รับผิดชอบในฐานะเพื่อนคนนึง ผู้ถือหุ้นคนนึงที่เมทำได้”

ชี้ลูกค้าส่วนหนึ่งอุดหนุนเพราะคิดว่าเป็นธุรกิจของตน ข้องใจคู่กรณีใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย
“PRIMAYA คลินิก ไม่ได้ปิดตัวลง จริงๆ PRIMAYA กับ Dermatige เป็นบริษัทเดียวกัน เป็นธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา เพียงแต่PRIMAYA เปลี่ยนชื่อเป็น Dermatige เป็นการรีแบรนด์ สุดท้ายแล้วอยู่ๆ ตัว Dermatige ที่เราเปลี่ยนชื่อ ถูกทำยังไงก็ไม่รู้ ไปอยู่อีกบริษัทนึง เครื่องหมายการค้าที่เราสร้างขึ้น หรือมีส่วนร่วมตรงนั้นถูกเอาผลประโยชน์ออกไป เงินกระจายไปเยอะมากๆ โดยที่ลูกค้าไม่รู้เลย ลูกค้าส่วนหนึ่งเข้าไปอุดหนุนเพราะมันเป็นธุรกิจเรา วันนี้ไม่มีใครรู้เลย ถ้าไม่เป็นข่าว ว่าตัว Dermatige ที่เป็นของเรา ถูกปิดบริษัทไปแล้ว เหลือแต่สิ่งที่เขานำไปใช้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เมรอข้อมูลอยู่ว่าเขาใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายยังไงเหรอ หรือเขาทำแบบนี้ได้ไง”

เจ็บจึ๊กลงหัวใจ ถูกเรียกบุคคลที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
เมอ่านแถลงการณ์ของเขา บรรทัดที่ 4 ที่ 5 เขาเรียกว่าบุคคลท่านนี้ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย คำนั้นก็เจ็บจึ๊กลงหัวใจเมเหมือนกันนะ เพราะเมต่างหากที่ต้องตั้งคำถาม คุณเองเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม เราเองก็เป็นส่วนนึงทำให้คุณมายืนอยู่ตรงนี้ คำนี้มันควรสะท้อนตัวคุณเองหรือเปล่าว่ามีอีกหลายเรื่องที่เมไม่ได้เปิดให้สังคมได้รู เพราะเมไม่อยากออกมาทำลายชื่อเสียงใคร เมอยากยุติเรื่องนี้ด้วยการไกล่เกลี่ยหรือเจรจากันให้ต่างคนต่างกลับไปใช้ชีวิตได้ ถ้าเมตั้งใจออกมาทำลายชื่อเสียงเขา ถ้าเมกางทุกอย่างที่มีในมือ ไม่รู้ว่าจะเหลือความน่าเชื่อถือให้กับคุณได้ยังไง อันนี้เมก็ยังไม่ทำเลย

บริษัทที่ก่อตั้ง สำนักงานยังเป็นบ้านเมอยู่เลย สำเนาจัดตั้งบริษัทยังอยู่บ้านเมอยู่เลย ตรงนี้อยากให้ข้ามไปเลยว่าธุรกิจใคร เราพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าสองชื่อสองแบรนด์นี้ มันคือบริษัทเดียวกัน”

รายได้ปีนึง 400-500 ล้าน ใครบ้างไม่อยากทำ เชื่อถูกวางให้ไม่มีบทบาทเพราะหมดผลประโยชน์
“ที่เขาบอกว่าหนูไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตรงนี้ไม่เป็นความจริง ไม่มีเหตุผลเลยที่เมไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลขนาดนั้น สิ่งที่เมเป็นก็ประจักษ์อยู่แล้วว่าเมทำงานตลอดเวลา ขายของห้าบาทสิบบาทเมยังขายเลย แล้วกับธุรกิจที่มีรายได้ปีนึง 400 - 500 ล้าน หรือเดือนนึง 40 - 50 ล้าน ทำไมเมถึงจะไม่ทำ

แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาเหมือนเมหมดผลประโยชน์หรือเปล่า เขาก็จัดแจงให้เมไม่มีบทบาทตรงนั้น เมถูกวางเส้นทางให้ยืนอยู่ตรงนี้ มันถอยหลังไปคนละทางกับคลินิกมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันนึงเขาให้เหตุผลว่าเมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ตัวเรา ถ้าจะพิสูจน์ส่วนเกี่ยวข้อง เมเชื่อว่าเมพิสูจน์ได้ทั้งหมด ถึงแม้เมไม่ได้ออกหน้าว่าเป็นเจ้าของคลินิก ไม่ได้ยืนอยู่เบื้องหน้า แต่เชื่อว่าเบื้องหลังที่เมมีส่วนรับผิดชอบคลินิก รับความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะการเงิน หรือการโอบอุ้มธุรกิจให้ดำรงอยู่ได้ตลอดมา เมก็ชี้แจงกับสังคมได้ตลอด

ก่อนคลินิกเติบโตอย่างทุกวันนี้ เมเป็นแสงสว่างเดียวหรือเปล่า ที่ทำให้คลินิกมีรายได้เติบโตขึ้นมาได้ แต่วันนี้ปัญหาอยู่ตรงที่ฉันไม่มีผลประโยชน์แล้ว ทำไมต้องมาแบ่งรายได้หาร 4 หาร 3 ให้กับเธอ ฉันยืนได้แล้ว มีแค่เรื่องเงินเลยในปัญหา ในข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการที่เงินมันเยอะ แทนที่เราจะแบ่งปัน เติบโตไปด้วยกัน แต่ก็กลายเป็นว่าเธออยากเก็บสิ่งนั้นไว้คนเดียวหรือเปล่า แค่นั้นเอง

Dermatige ยังอยู่ภายใต้บริษัทเราอยู่ แค่รีแบรนด์ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ จากการที่เขาเตะออกจากกลุ่ม เตะออกจากทุกช่องทางการรับรู้ ตัวเมทำได้แค่เพียงเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรม ที่จะขอเข้าไปในฐานะผู้ถือหุ้น ขอรับรู้หน่อยว่าเป็นยังไงบ้างหรือขอรู้หน่อยแผนการตลาดเป็นยังไงบ้าง เราก็ยังไม่ได้คำตอบเลย

หุ้นเมย์ 25 เปอร์เซ็นต์ เท่ากัน 4 คน เมคือผู้ถือหุ้นคนนึง ไม่มีเงินเดือน แต่ก่อตั้งธุรกิจนี้มา ที่เมแอ็กชั่นไปมากมาย เมไม่เคยมีเงินเดือนนะ แต่ 3 ท่านมีเงินเดือนตลอด หมายความว่าตัวเมตั้งแต่ตั้งธุรกิจนี้มาตั้งแต่วันแรก เมไม่มีเงินเดือน ไม่ได้จัดแจงอะไรเลย เหมือนเมอาจมีชื่อเสียงมากกว่าคนอื่น เมก็โปรโมตฉ่ำมาก

ก่อนรีแบรนด์ ก็ได้ผลประโยชน์ตามผู้ถือหุ้นปกติ ทุกคนได้มากกว่าเรา ทุกคนมีเงินเดือน แต่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เมจะพาพนักงานไปกินข้าว พาไปเอาต์ติ้ง หรือจ่ายโบนัสพนักงาน เมก็หักส่วนตัวเองตลอด ไม่เคยเบิกบริษัท มันเป็นสิ่งที่เมไม่ได้เรียกร้องตรงนี้ตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว

มองถูกฮุบบริษัท ไม่เห็นอนาคตร่วมกัน ก็ควรปิดธุรกิจอย่างยุติธรรม
“(เราโดนฮุบกิจการ?) ถูกต้อง วันนี้เมเข้าใจอย่างดีว่าถ้าเราไม่ได้เห็นอนาคตร่วมกันแล้ว เราก็ควรปิดธุรกิจนี้อย่างยุติธรรมที่สุด มันมีวิธีการอยู่มากมาย คุณซื้อหุ้นฉัน ฉันซื้อหุ้นเธอ หรือจบไปเลย เอากำไรสะสมบริษัทมาแบ่งกัน ที่มันยังมีศักดิ์ศรี ยังมีเกียรติ แต่วันนี้สิ่งที่เราได้รับ มันจะเรียกว่าถูกฮุบไหม ถูกโกงไหม เมไม่รู้ ถ้าหากว่าเมได้เปิดทุกอย่างแล้ว เมเชื่อว่าสังคมสามารถตัดสินตรงนี้ได้ โดยเมไม่ต้องมานั่งกล่าวหาหรือนั่งบอกเขาหรอกว่ามันคืออะไร”

เล่านาทีถูกตร.แจ้งข้อหาบุกรุก ทั้งที่ถูกเชิญเข้าประชุม
ส่วนที่เขาฟ้องว่าเราโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ ตรงนี้ศาลรับฟ้องแล้ว วันนั้นเมเข้าไปตามหนังสือนัดหมาย ตามกฎหมายในฐานะผู้ถือหุ้น ไปกับผู้ถือหุ้น ไปกับทนาย เม และลูกๆ ครอบครัว เขาก็รู้ว่าวันนี้เมจะไป สุดท้ายวันนั้นเมโดนตร.แจ้งข้อหาบุกรุก เขาเป็นคนเชิญเมไปห้องประชุม ห้องผู้บริหารเอง เสิร์ฟน้ำทุกอย่าง สุดท้ายตร.เข้ามา เราก็โดน 2 ข้อหา หมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพฯ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เขาบอกว่าเราไม่ใช่เจ้าของอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งตรงนี้ศาลเพียงแต่รับฟ้องไว้เท่านั้น ยังไม่ได้ดำเนินการสืบพยาน หรือดูหลักฐานจากฝั่งหนูเลย มันเป็นกระบวนการแรกที่ศาลรับไว้ แต่ไม่ได้สืบพยานจากฝั่งหนู ซึ่งถ้าศาลได้ดูแล้วทุกอย่างที่เป็นมาก็คิดว่าไม่น่าเป็นปัญหา”

ไม่ห่วงเพราะตนเป็นผู้ถูกกระทำ ลั่นอยากจบให้เร็ว แต่ต้องไม่โดนเอาเปรียบ
“เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเลย เราเป็นผู้ถูกกระทำ เมก็อยู่ของเมเฉยๆ แต่มาเจอว่าเข้าบัญชีรายจ่ายไม่ได้ ทำไมลูกค้าถูกกระจายเงินไปหลายที่ ทำไมอยู่ๆ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้น ถามว่าเมจะกลัวไหม เมไม่ได้เป็นคนที่อยู่ๆ จะไปทำอะไร แล้วอยู่ๆ จะมีความผิดเข้ามาในตัว เพียงแต่วันนี้เราจะนำตัวคนผิดออกมาให้รับความผิดได้หรือเปล่า หรือเราจะหาข้อสรุปเรื่องนี้ได้ยังไง อย่างยุติธรรมกับเราหรือเปล่า

จริงๆ ปีที่ผ่านมา เราพยายามไกล่เกลี่ยมาโดยตลอด คิดว่าคงไม่มีการไกล่เกลี่ยหรือคุยเกิดขึ้นหรอก ถ้าจะคุยมันคงจบคงไม่มีวันนี้แล้ว ตัวเมตอนนี้มีความสุขมากๆ ครอบครัวดี ลูกน่ารัก สามี ทุกอย่างดีไปหมดเลย เมอยากจบเรื่องนี้แล้วไปใช้ชีวิต อยากจบให้มันเร็วและยุติธรรมที่สุด คำว่าจบเร็วไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ใครมาเอาเปรียบเมนะ ก็อยากให้ยุติธรรม เพราะธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เราเอาทั้งชีวิตเราและครอบครัวเราไปฝากไว้เหมือนกัน ก็อยากได้ทางลงที่ยุติธรรม ไม่ได้ต้องการชนะ ทั้งทางคดี ทางสังคม ไม่ได้คาดหวังอะไรไปจากการพอแล้วกับปัญหา อยากอยู่บ้านกับลูกก็แค่นั้น ขอแค่นี้ ไม่ได้หวังอะไรมากมาย แค่ความยุติธรรมเท่านั้น”

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เอกสารทุกอย่างพิสูจน์ได้
“เขาบอกเอกสารที่เมเอามาชี้แจง ไม่ตรงกับเอกสารบริษัท ก็ต้องถามว่าเอกสารส่วนไหน เพราะเมมีแต่ความจริง เรื่องจริง ไทม์ไลน์ชนกันได้ ทุกอย่างพิสูจน์ได้หมด เมไม่ไปนั่งทำเอกสารย้อนหลังแน่นอน ส่วนที่เขาบอกว่าทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หรือวันนี้เราอยู่กันคนละโลกหรือเปล่า เพราะเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นพร้อมกัน ความจริงมีหนึ่งเดียวไหม ถ้าเมไม่โกหก มันก็ต้องมีฝั่งนึงโกหก ประโยคนี้แค่ทำให้เมต้องรอบคอบ และต้องตั้งสติมากขึ้น ว่าวันนี้เราอาจอยู่กับเหตุการณ์ที่ซับซ้อนแหละ อาจจะยากแหละ ก็เป็นข้อความที่ทำให้เมได้รู้ว่าบุคคลนี้ไม่กลัวต่อความผิด และยังยืนยันกับเหตุการณ์แบบนี้ ก็ทำให้คิดว่าคุณก็คงไม่ใช่คนธรรมดาแล้วแหละ

ถ้าเขาติดต่อขอซื้อ 25 เปอร์เซ็นต์ จริงๆ ดีลนี้เป็นดีลที่เมประสานงานมาโดยตลอด คุณจะซื้อ 25 เปอร์เซ็นต์เราไหมหรือเราจะไปซื้อ 75 เปอร์เซ็นต์ของฝั่งคุณ หรือถ้าคุณไม่มีเงินสด ผ่อนชำระเราไหม 3 ปี 5 ปี เราก็ให้ออปชั่นไปต่างๆ เยอะแยะมากมาย หรือจะปิดบริษัทไปเลย กำไรสะสมแบ่งกันดีไหม เมว่าเมก็ให้ทางออกที่ยุติธรรมนะ แต่ส่วนที่เอาเครื่องหมายการค้าเราไปใช้ เอาพนักงานเราไปใช้ ไอจี ข้อมูลไลน์เอาร้านค้าเราไปใช้ ก็ต้องหาทางลงกันว่ามันจะยังไง ถ้าคุณจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เราไม่ติดเลย ทุกคนก็มีหนทางที่จะเติบโต เราก็เข้าใจ แต่วันนี้ต้องหาทางลงให้ได้

เขาอ้างว่าเขามีชื่อเสียงมากกว่าเราตอนนี้ เมก็ไม่ได้มีสิ่งที่จะโต้แย้งอะไร แต่ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือเราก็มีมากมายมาก่อนเหมือนกัน ตรงนี้ถ้าคุณไม่อยู่กับความถูกต้อง ความยุติธรรม ไม่อยู่กับความจริงใจต่อสังคม ต่อเอฟซีของคุณ วันนึงมันก็หายไปได้เหมือนกัน เมว่าวันนี้เมอยู่กับข้อมูลจริง ข้อเท็จจริง สิ่งนี้มันจะคุ้มครองตัวเมค่ะ”

ได้บทเรียน คำว่าเพื่อนและไว้ใจ ใช้ไม่ได้กับธุรกิจ ตีกันเพราะเงินแค่นี้ ทั้งที่ธุรกิจอาจแตะหมื่นล้าน
“เรื่องนี้ได้บทเรียน จริงๆ บทเรียนชีวิตได้มาแล้วตอนดรามาที่เกิดขึ้น เราก็นำคำติชมมาแก้ไขและปรับปรุงตลอดมา แต่บทเรียนครั้งนี้คือคำว่าเพื่อน ความไว้ใจ ผลประโยชน์ต่างๆ นานา ก็คิดว่ามันจะทำให้เมระวังตัวมากขึ้นในการใช้ชีวิตหลังจากนี้ คำว่าผลประโยชน์เมไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้เลยในชีวิตนี้ แต่วันนี้เมก็ได้มาเจอกับตัวเองว่าวันที่เราไม่มีผลประโยชน์แล้ว อดีตแค่ 4-5 ปีที่ผ่านมา เหมือนเราเอาชื่อเสียง เอาอนาคตเรา เอาไปสาด เอาไปให้ เอาไปส่องทุกอย่าง เราไม่คิดว่าการที่เรามีประโยชน์มากกว่าคนอื่น แล้วรายได้เราหาร 4 เราจะมาคิดเล็กคิดน้อย เพราะเราหวังจะเติบโตไปด้วยกัน

แต่เคสนี้ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกที่พร้อมจะทำธุรกิจแบบมีหุ้นส่วน ไม่ใช่ทุกคนพร้อมเติบโตไปกับเรา ต่อไปเมเองก็ต้องระมัดระวัง รอบคอบในการทำงานมากขึ้น และความเชื่อใจมันใช้ไม่ได้จริงๆ สำหรับการทำธุรกิจ เมื่อไหร่ที่มีเงินเข้ามา แทนที่มีเงินแล้วจะมีความสุขไปด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน แต่มันทำให้เมได้เรียนรู้ว่ามีเงินนี่แหละ เป็นตัวการที่ทำให้เราพังทุกอย่าง วันนี้ธุรกิจนี้อาจไปแตะร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้านก็ได้ แต่วันนี้มันไปไม่ได้ เพราะเงินแค่นี้เราก็ตีกันแล้ว เงินแค่นี้เราก็เกิดปัญหามากมายแล้ว ก็เป็นอะไรที่ได้เรียนรู้จริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะเจอปัญหาธุรกิจไปได้ดีแล้วทะเลาะกัน

ไม่อยากใช้คำว่าน้อยใจ เป็นความรู้สึกของเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมา จริงๆ เพื่อนควรเป็นคนให้กำลังใจ และซัปพอร์ตเรามากที่สุด แต่วันนี้เพื่อนกลุ่มนี้เอาอดีตที่เราเคยผิดพลาดหรืออะไรก็แล้วแต่ มาดิสเครดิตเรา ทำให้เมรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด มันเหมือนได้เรียนรู้มากกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะจริงใจ หวังดีแบบที่เรามอง ก็เป็นบทเรียน การคบคน การทำธุรกิจ ทุกอย่างที่เราให้ใจไป มันพังลงเพราะคำว่าเงิน”

ชี้มีหลักฐานเด็ดที่ทำให้สังคมประจักษ์ ลั่นไม่ได้อยากแฉ แต่ต้องได้บทเรียนเหมือนกัน
“เชื่อว่าอดีตเพื่อนฟังคำสัมภาษณ์นี้ ถือว่าเราทำบุญกันมาแค่นี้ รีบแยกย้ายไปเติบโตเถอะค่ะ เราไม่มีสิทธิ์ไปเอาเปรียบใคร จบกันก็จบไปได้ด้วยดี เมไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เมขอแค่ความยุติธรรมที่เมควรได้รับค่ะ กฎหมายเมมั่นใจมากๆ ว่าเมสามารถทำให้สังคมรู้ได้ว่าคนที่มีชื่อเสียง มีผู้ติดตาม มีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ กับความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างไร เมสามารถทำให้สังคมประจักษ์ได้อย่างแน่นอน ด้วยสิ่งที่เมมี

เอาเป็นว่าไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะมีหลักฐาน แต่คาดหวังให้คนทำผิด รับโทษ รับผิด ได้อย่างเต็มที่หรือเปล่า เพราะกฎหมายอาจมีช่องโหว่อะไรบางอย่าง ด้วยการเจอคนประเภทนี้ กฎหมายอย่างเดียวจะเอาอยู่ไหมก็ไม่รู้ ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้ระมัดระวังมากขึ้น จากพฤติการณ์ที่เราได้เห็นตลอดเวลา เคสนี้เหมือนต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น กับคนที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ฝ่ายเมพร้อมอยู่แล้ว เดี๋ยวรอดูค่ะ มีคนส่งอะไรมาให้เราเยอะมาก ไม่คิดว่าเขาจะกล้าเล่นกับชื่อเสียงที่เขามี ความไว้วางใจที่ลูกค้าได้มอบให้เขา เมเองไม่ได้อยากเปิดอยากแฉให้มันยิ่งไปกันใหญ่ ก็ปล่อยให้เป็นบทเรียนที่ตัวเขาควรได้รับเหมือนกัน”







กำลังโหลดความคิดเห็น