xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกาเรียกเก็บภาษี 1 แสนดอลลาร์จากคนเก่งวิทย์ทั่วโลก ขณะจีนใช้มาตรการจูงใจต่างๆมาดึงดูดคนเหล่านี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: วาย โทนี หยาง


คนเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดีย คือผู้ที่ได้รับวีซ่าทำงานในอเมริกาประเภท H-1B มากที่สุด ดังนั้น การที่คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ยื่นขอวีซ่าประเภทนี้สูงถึง 100,000 ดอลลาร์ จึงเป็นการพุ่งเป้าเล่นงานผู้คนเหล่านี้อย่างหนักที่สุด
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/09/americas-100000-talent-tax-vs-chinas-free-welcome-mat/)

by Y Tony Yang
22/09/2025

ค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ที่ ทรัมป์ เพิ่งออกประกาศจะจัดเก็บจากผู้ยื่นขอวีซ่าทำงานในอเมริกาประเภท H-1B ที่ยื่นขอใหม่ จะส่งผลกลายเป็นการทำลายตำแหน่งงานในสหรัฐฯ, หยุดยั้งการเติบโตของพวกกิจการสตาร์ทอัป, และเปลี่ยนทิศทางความรุ่งเรืองของนวัตกรรมโลกจากตะวันตกไปเป็นตะวันออก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งตัดสินใจประกาศเก็บค่าธรรมเนียมรายปีในอัตราปีละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ [1] กับผู้ที่ยื่นขอวีซ่าเพื่อทำงานในอเมริกา ประเภท H-1B กรณีที่เป็นการยื่นขอใหม่ เรื่องนี้เป็นอะไรที่มีความหมายความสำคัญมากเกินกว่าแค่นโยบายผู้อพยพเท่านั้น แต่มันคือการขยับเดินหมากอย่างผิดพลาดในทางยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นการเร่งรัดความตกต่ำเสื่อมถอยของอเมริกา ในการแข่งขันเพื่อดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก เวลาเดียวกันนั้นมันยังกลายเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งโดยไม่ได้ตั้งใจให้แก่ประเทศจีน ในการต่อสู้ชิงชัยที่สหรัฐฯกำลังมุ่งมั่นหาทางเอาชนะให้ได้

พวกนักวิชาชีพชาวเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอินเดีย คือบุคคลส่วนข้างมากชนิดเกินกว่าครึ่งหนึ่งไปไกลเลยด้วยซ้ำ ที่กำลังเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากวีซ่า H-1B การปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งนี้ จึงกำลังทำให้ผู้คนเหล่านี้ตกเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่จะถูกเล่นงาน

ค่าธรรมเนียมปีละ 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราสูงลิ่วอย่างไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อนในระดับโลก และคิดคร่าวๆ ก็อยู่ในระดับสูงกว่าถึงราว 25-30 เท่าตัวทีเดียวจากค่าธรรมเนียมวีซ่าประเภทใกล้เคียงกันในแคนาดาหรือสหราชอาณาจักร ดังนั้น มันจึงส่งผลกลายเป็นการสร้างระบบที่เกิดการแบ่งแยกออกเป็น 2 ชั้นขึ้นมา โดยที่มีเพียงพวกบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดเท่านั้นจึงจะมีความสามารถควักกระเป๋าจ่ายเพื่อดึงดูดคนเก่งๆ จากนานาชาติเข้ามาร่วมงานด้วย ขณะที่พวกสตาร์ทอัป และบริษัทขนาดกลาง จะถูกคัดออกเพราะเข้าแข่งขันไม่ไหวเมื่อเจอกับราคาโหดขนาดนี้

สภาพเช่นนี้ทำให้อำนาจในการว่าจ้างผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลก รวมศูนย์อยู่แต่เฉพาะในหมู่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ ขณะเดียวกันก็กลับส่งผลกลายเป็นสร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศชนิดส่งเสริมสนับสนุนนวัตกรรม ชนิดที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดพวกผู้ประกอบการและพวกวิศวกรชาวเอเชียให้ตัดสินใจเดินทางเข้ามาลงหลักปักฐานในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ทีแรก

ความโกลาหลอลหม่านที่เกิดขึ้นทันทีทันควันภายหลังการออกประกาศในเรื่องนี้ โดยที่พวกบริษัทนายจ้างรายใหญ่ๆ ต่างพากันออกคำแนะนำ [2] ให้บรรดาลูกจ้างที่ยังอยู่ในต่างแดนทั้งหลาย รีบ “เดินทางกลับอเมริกา” โดยด่วน เป็นสิ่งซึ่งเผยให้เห็นชัดเจนถึงผลกระทบในทางสร้างความสะดุดติดขัดของนโยบายนี้ โดยเฉพาะอย่างผลกระทบต่อพวกเครือข่ายนักวิชาชีพชาวเอเชียซึ่งลงหลักหยั่งรากมั่นคงแล้วในอเมริกา โดยกระจายตัวครอบคลุมไปทั้งซิลิคอนแวลลีย์, วอลล์สตรีท, ตลอดจนที่อื่นๆ ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีก

สำหรับผู้ที่ถือวีซ่า H-1B อยู่แล้วซึ่งประมาณการกันว่ามีในราว 500,000 คน และปัจจุบันยังกำลังอยู่ในสหรัฐฯ –โดยที่จำนวนเกินครึ่งไปมากมายคือคนเอเชีย— ข้อความสำคัญของนโยบายนี้ซึ่งส่งมาถึงพวกเขามีความชัดเจนมากๆ นั่นคือ การเดินทางออกไปจากสหรัฐฯ หมายความว่ามีโอกาสความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่สามารถกลับมาอีกโดยเพียงแค่เสียค่าใช้จ่ายระดับที่พอจะควักกระเป๋ากันไหว

จังหวะเวลาสุดเพอร์เฟคต์สำหรับประเทศจีน

เวลาเดียวกับที่ทรัมป์ออกมาตรการกีดกันจำกัดผู้มีความรู้ความสามารถชาวเอเชียไม่ให้หลั่งไหลเข้ามายังอเมริกานี้เอง ปักกิ่งกลับกำลังปูพรมแดงรอคอยต้อนรับคนเก่งเหล่านี้โดยอาศัยโปรแกรมวีซ่าประเภทใหม่ของตนที่ใช้ชื่อว่า K-visa [3] ซึ่งมีกำหนดเริ่มเปิดตัวในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันเป็นการรุกแบบมุ่งฉวยโอกาสในทางยุทธศาสตร์ของแดนมังกร

โปรแกรม K-visa ของจีน พุ่งเป้าเน้นหนักเป็นพิเศษไปที่พวกนักวิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชาวต่างประเทศซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มสาว โดยเสนอสิ่งดึงดูดจูงใจ ทั้งในรูปของการเข้าประเทศจีนได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้นกว่าปกติมาก, การตระเตรียมทำความตกลงในเรื่องการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูง, และแพกเกจความสนับสนุนอย่างกว้างขวางครอบคลุมจากรัฐบาลซึ่งมีมูลค่าระดับหลายแสนดอลลาร์

ทั้งนี้จีนยังมีกลไกที่ใช้กันในระดับวงกว้างอยู่แล้ว สำหรับจูงใจผู้มีความรู้ความสามารถให้สมัครมาทำงานในแดนมังกร โดยมีทั้งการเซ็นสัญญาที่จะจ่ายโบนัสให้ในระดับตั้งแต่ 420,000 ดอลลาร์ จนถึง 700,000 ดอลลาร์, การอุดหนุนช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย, การรับประกันการจ้างงานของคู่สมรส, และเส้นทางอันแน่นอนในการก้าวไปสู่สถานะการเป็นผู้มีถิ่นพำนักถาวรในจีน ขณะที่อเมริกาตั้งกำแพงเครื่องกีดขวางทางการเงินขึ้นมา จีนกลับกำลังกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไป พวกเขาจึงกำลังสร้างกลยุทธ์ในการเก็งกำไรให้ได้คนเก่งๆ มาใช้งาน ซึ่งจริงๆ แล้วปักกิ่งอาจจะไม่ได้วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าเวลานี้กำลังหาประโยชน์จากมันได้ในระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญ

จังหวะเวลาในการขยับเดินหมากของแดนมังกร เปิดเผยให้เห็นว่าจีนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งละเอียดอ่อนเกี่ยวกับการไหลเวียนของพวกผู้มีความรู้ความสามารถในระดับโลก ขณะที่การเก็บค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ของอเมริกาเริ่มมีผลบังคับใช้ จีนก็เปิดตัวโปรแกรม K-visa ซึ่งเป็นการสร้างเส้นทางเลือกเส้นทางใหม่อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับพวกนักวิชาชีพทางด้านสะเต็ม (STEM ย่อมาจาก science วิทยาศสตร์, technology เทคโนโลยี, engineering วิศวกรรม, mathematics คณิตศาสตร์) ชาวเอเชีย ที่อเมริกากำลังกำจัดออกไปด้วยนโยบายด้านราคา

เหตุผลความชอบธรรมที่คณะบริหารทรัมป์นำมาอ้างเพื่อประกาศใช้นโยบายนี้ก็คือ เพื่อปกป้องคุ้มครองบรรดาคนงานชาวอเมริกันเองไม่ให้ถูกกดขี่บีบคั้นเรื่องค่าแรง แต่อันที่จริงแล้วมันคือความเข้าใจผิดในขั้นรากฐานเกี่ยวกับบทบาทและประโยชน์ของพวกผู้อพยพกลุ่มที่มีทักษะสูง

ผลการวิจัยครั้งต่างๆ แสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอว่า คนงานที่เข้าสู่อเมริกาโดยอาศัยวีซ่า H-1B เป็นผู้ที่เข้ามาเสริมส่งเพิ่มเติมผู้มีความรู้ความสามารถชาวอเมริกัน ไม่ใช่พวกที่จะเข้ามาแทนที่ เมื่อชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย กล่าวโดยสุทธิแล้วผู้คนเหล่านี้กำลังเป็นผู้สร้างดอกผลดีๆ จากตำแหน่งงาน ด้วยการใช้ความสามารถในการผลิตและนวัตกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น การศึกษาชิ้นหนึ่งที่จัดทำกันเมื่อปี 2015 [4] พบว่าการจ้างแรงงานผู้อพยพที่มีทักษะ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนกับสภาพการจ้างงานโดยรวมที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังให้ประโยชน์แก่พวกคนงานอเมริกันรุ่นหนุ่มสาว

ความย้อนแย้งข้อใหญ่ที่สุดของนโยบายจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากวีซ่า H-1B ในอัตราแพงลิ่ว อยู่ที่ผลลัพธ์ที่คาดว่าน่าจะออกมาจากนโยบายนี้ กล่าวคือ แทนที่พวกบริษัทซึ่งต้องเผชิญกับค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์จะว่าจ้างคนอเมริกันเพิ่มมากขึ้น พวกเขาน่าที่จะหันไปดำเนินกิจการในต่างแดนเสียเลย โดยเฉพาะในสถานที่ซึ่งมีคนเก่งๆ อุดมสมบูรณ์ --.ซึ่งมันก็เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับสิ่งที่จีนคาดหวังและอำนวยความสะดวกต่างๆ เอาไว้รอท่า ในโปรแกรมดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถชาวต่างประเทศของพวกเขา

สภาพเช่นนี้ก่อให้เกิดฉากทัศน์แบบที่อเมริกามีแต่เสียกับเสีย กล่าวคือ อเมริกาสูญเสียทั้งตำแหน่งงานและคนเก่งๆ ขณะเดียวกันพวกชาติคู่แข่งกลับได้ไปทั้งสองอย่าง

บางทีส่วนที่สร้างความเสียหายหนักหน่วงที่สุด ได้แก่การที่นโยบายนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงที่สุดให้แก่พวกสตาร์ทอัป และบริษัทเกิดใหม่ทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์แห่งนวัตกรรมอเมริกัน และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเคยเป็นตัวดึงดูดพวกผู้ประกอบการชาวเอเชียได้อย่างชะงัด

ขณะที่ กูเกิล หรือ ไมโครซอฟท์ สามารถแบกรับค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ไหว แต่กิจการสตาร์ทอัปด้านเอไอที่มีคนทำงานกัน 5 คนไม่สามารถทำได้ จึงกำลังส่งผลกลายเป็นการกีดกันพวกเขาออกไปจากตลาดเสาะหารับสมัครผู้มีความรู้ความสามารถทั่วโลก สภาพเช่นนี้ย่อมกลายเป็นการรวมศูนย์พลังอำนาจในการจ้างงานให้อยู่แต่ในหมู่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปักหลักมั่นคงแล้ว ขณะที่กลับเป็นการบีบคอทำให้ระบบนิเวศส่งเสริมผู้ประกอบการ ซึ่งพวกผูอพยพชาวเอเชียได้ช่วยเหลือสร้างขึ้นมา อยู่ในอาการหายใจไม่ออก

พวกผู้ประกอบการชาวเอเชียซึ่งน่าจะได้เป็นผู้เริ่มต้นสร้างบริษัทต่างๆ ขึ้นมาในอเมริกา เวลานี้จะต้องหันไปมองที่อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น – และจีนที่มีทั้งกระบวนการออก K-visa ซึ่งสะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิม เมื่อสมทบกับขนาดของตลาดภายในประเทศที่ใหญ่โตโอฬารของพวกเขา จึงเป็นการเสนอทางเลือกที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ผลต่อเนื่องอย่างล้ำลึกที่สุดที่จะเกิดขึ้นตามมา อาจจะกินระยะเวลาเป็นชั่วรุ่นคนทีเดียว พวกผู้สำเร็จการศึกษาด้านสะเต็มชาวเอเชีย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเคยมองอเมริกาว่าเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่สุดอันดับแรกสำหรับความก้าวหน้าทางอาชีพของพวกเขา เวลานี้ถูกบังคับให้ต้องกลับไปคำนวณผลได้ผลเสียกันใหม่ และการที่จีนลงทุนอย่างเป็นระบบในการดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถ เมื่อบวกกับการตั้งกำแพงกีดกั้นใหม่ๆ ของอเมริกา จึงกำลังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงถึงขั้นรากฐานในเรื่องการไหลเวียนของคนเก่งๆ ในทั่วโลก

ต้องไม่ลืมด้วยว่า งบประมาณใช้จ่ายด้านการวิจัยและการพัฒนาของจีน ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 40,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2000 มาเป็น 620,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 –ไล่กระชั้นเข้ามามากเมื่อเปรียบเทียบกับงบใช้จ่ายด้านนี้ของอเมริกาซึ่งอยู่ที่ 710,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อบวกเข้ากับนโยบายวีซ่าใหม่ของจีน รวมทั้งพวกโปรแกรมดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถที่นำออกมาใช้อยู่แล้ว จีนจึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับผลประโยชน์จากนักวิชาชีพชาวเอเชียใดๆ ก็ตามที่ต้องเปลี่ยนใจจากค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ของอเมริกา

ความมืดบอดในทางยุทธศาสตร์

นโยบายขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ของทรัมป์ ถือเป็นกรณีตัวอย่างคลาสสิก ของการมีชัยชนะในการสู้รบในระดับสมรภูมิ ทว่ากลับกำลังพ่ายแพ้ปราชัยในการสงครามโดยภาพรวม

ด้วยการมุ่งโฟกัสอย่างคับแคบไปที่ความสนใจเกี่ยวกับการจ้างงานภายในประเทศเฉพาะหน้า นโยบายนี้เพิกเฉยละเลยภูมิทัศน์ของการแข่งขันในวงกว้างออกไป ซึ่งการเคลื่อนย้ายของผู้มีความรู้ความสามารถคือตัวตัดสินความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ขณะที่อเมริกายังคงสาละวนอยู่กับการโต้เกียงกันในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรับคนเก่งๆ ชาวต่างประเทศเข้ามา จีนกลับพยายามหว่านเสน่ห์อย่างเป็นระบบเพื่อจูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเหล่านั้น ด้วยระบบสนับสนุนอย่างครอบคลุมรอบด้าน

การที่นโยบายนี้ถูกกำหนดเอาไว้ว่ามีระยะเวลาบังคับใช้ 1 ปี บ่งบอกให้ทราบว่าแม้กระทั่งคณะบริหารทรัมป์เองก็ยอมรับว่าเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นของการทดลองใช้ อย่างไรก็ดี ในเวทีการแข่งขันช่วงชิงคนเก่งระดับโลกนั้น บ่อยครั้งที่ความรับรู้ความเข้าใจที่มองเห็นได้ มีความสำคัญมากมายยิ่งกว่าพวกรายละเอียดของนโยบาย – และอเมริกาเพิ่งส่งสัญญาณออกไปว่าพวกนักวิชาชีพชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเอเชียนั้น ไม่ได้เป็นที่ต้อนรับของประเทศนี้เฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว

ค่าธรรมเนียมราคา 100,000 ดอลลาร์สำหรับวีซ่า H-1B ของทรัมป์ ในที่สุดแล้วอาจจะเป็นที่จดจำกันว่า มันคือหนึ่งในนโยบายที่จีนไม่เคยต้องนำมาใช้ปฏิบัติอะไรเลย ทว่ากลับเป็นสิ่งที่ให้ผลมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ด้วยการที่อเมริกาใช้ราคามาทำให้ผู้มีความรู้ความสามารถชาวต่างประเทศต้องหลุดออกไปจากตลาดอเมริกัน ขณะเดียวกับที่ปักกิ่งกลับรีบเปิดเส้นทางใหม่ๆ เพื่อต้อนรับนักวิชาชีพกลุ่มเดียวกันเหล่านี้ อเมริกาจึงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของการเร่งรัดความตกต่ำเสื่อมทรุดโดยเปรียบเทียบของตนเอง ในการแข่งขันชิงชัยด้านวัตกรรมระดับโลก

ความพยายามของคณะบริหารทรัมป์ในการพิทักษ์ปกป้องคนงานชาวอเมริกัน อาจจะกลายเป็นการพิทักษ์ปกป้องความสามารถในการแข่งขันของจีนไปเสียฉิบ และผลต่อเนื่องที่มิได้ตั้งใจประการหนึ่ง ในเรื่องที่พวกนักวิชาชีพชาวเอเชีย ถูกบีบบังคับให้แสวงหาโอกาสในสถานที่อื่นๆ ซึ่งไม่ใช่อเมริกา ก็กำลังช่วยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา

วาย โทนี หยาง เป็นศาสตราจารย์ผู้ได้รับเงินกองทุน (Endowed Professor) ของมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ในกรุงวอชิงตัน, สหรัฐฯ


เชิงอรรถ
[1] https://www.whitehouse.gov/presidential-actions/2025/09/restriction-on-entry-of-certain-nonimmigrant-workers/
[2] https://www.ft.com/content/9822b5ee-4d3e-4e73-bbf4-be382d2fada7
[3] https://www.china-briefing.com/news/chinas-entry-exit-k-visa-rules-2025/


[4]https://www.nber.org/system/files/working_papers/w19658/w19658.pdf



กำลังโหลดความคิดเห็น