จากการนำเสนองานวิจัยเรื่อง คนจนหน้าจอ : กรณีศึกษาวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ในมุมมองสื่อสารมวลชน” ของ นายธนะกิจ อินยาโส นิสิตระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการวิจัยด้วยกัน 3 ข้อ คือ 1) เพื่อสังเคราะห์วาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธที่มีอิทธิพลต่อคนยากไร้ที่เคยออกอากาศผ่านรายการโทรทัศน์ 2) เพื่อพัฒนาวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธในแบบรื้อสร้างอุดมการณ์กลวิธีทางวาทกรรมช่วยเหลือผู้ยากไร้ในมุมมองของสื่อสารมวลชน และ 3) เพื่อถ่ายทอดชุดวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธของคนยากไร้ในมุมมองของสื่อสารมวลชน จากผลการวิจัยนี้พบว่า
1. การสังเคราะห์วาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธที่มีอิทธิพลต่อคนยากไร้ที่เคยออกอากาศผ่านรายการโทรทัศน์ จะเห็นว่า ธรรมะใกล้ตัวและชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ทำหน้าที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการฟื้นคืนศักดิ์ศรีของผู้ด้อยโอกาส ผ่านการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับหลัก อริยสัจ ๔ และ พรหมวิหาร ๔ ส่งผลให้ผู้ชมตระหนักถึงสภาวะแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ และแนวทางแห่งการดับทุกข์ ตลอดจนก่อให้เกิดความเมตตา กรุณา และอุเบกขาต่อผู้ที่อยู่ในภาวะยากลำบาก อีกทั้งยังสะท้อนการประยุกต์ใช้ เบญจศีล–เบญจธรรม ในการดำเนินชีวิตอย่างไม่เบียดเบียนและการเคารพสิทธิผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม
2.การพัฒนาวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธในแบบรื้อสร้างอุดมการณ์กลวิธีทางวาทกรรมช่วยเหลือผู้ยากไร้ในมุมมองของสื่อสารมวลชน พบว่าสื่อมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนกรอบการรับรู้ที่เคยมองคนยากไร้ว่าเป็น “ภาระ” หรือ “ผลกรรม” ไปสู่การยืนยันว่าเป็น “ผู้มีศักยภาพทางธรรม” โดยเน้นการเล่าเรื่องเชิงเสริมพลัง (empowerment) ซึ่งสอดคล้องกับหลัก อิทัปปัจจยตา ที่อธิบายความยากจนในฐานะผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง มิใช่เพียงผลของกรรมเก่า ทั้งยังสัมพันธ์กับหลัก เบญจศีล–เบญจธรรม ที่ส่งเสริมการเว้นจากการเบียดเบียน ความเอื้อเฟื้อ และความยุติธรรม
3. การถ่ายทอดชุดวาทกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธของคนยากไร้ในมุมมองของสื่อสารมวลชนพบว่าสื่อมิได้เพียงนำเสนอในฐานะ “ผู้ขาดโอกาส” แต่ยืนยันถึงสิทธิและศักยภาพของพวกเขาในการเข้าถึงธรรมะ การฝึกศีล สมาธิ และปัญญาเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป การยืนยันเช่นนี้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลว่าด้วยความเสมอภาคในศักดิ์ศรีของมนุษย์ และเชื่อมโยงกับ เบญจศีล–เบญจธรรม ที่เน้นความสุจริต ความเมตตา และการไม่เอารัดเอาเปรียบ ส่งผลให้การช่วยเหลือมิใช่เพียงการสงเคราะห์ แต่เป็นการปลดปล่อยเชิงจิตวิญญาณและการสร้างความเป็นธรรมในโครงสร้างสังคม
ด้านพระเจริญพงษ์ ธมฺมทีโป, ผศ.ดร.ผู้อำนวยการหลักสูตรบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาพระพุทธศาสนา วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า งานวิจัยนี้ ชี้ให้เห็นมิติคำว่าสิทธิมนุษยชนเชิง พุทธ หรือ ความหมายแม้ว่าในคัมภีร์พุทธศาสนา ไม่มีคำว่าสิทธิตามหลักกฎหมาย เพราะ เรื่องสิทธิเป็นเรื่องกฎหมายตามแบบแนวคิด ตะวันตกแต่ว่าแท้จริงแล้ว สิทธิมนุษยชนเชิง พุทธ มันพูดถึงเรื่องหน้าที่ทางศีลธรรม ที่เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานข้อปฏิบัติเบื้องต้นง่ายๆ เลยอย่างเช่น ในงานวิจัยเรื่องนี้พูดถึงเรื่องหลักเบญจศีลเบญจธรรม ที่เป็นหลักปฏิบัติในการคุ้มครองสิทธิ์ที่ของผู้อื่นโดยอัตโนมัติ เพราะว่าหากทุกคนในสังคมทำตามหน้าที่ได้ไม่เบียดเบียนกัน สิทธิก็จะได้รับการปกป้องสิทธิทางด้านชีวิต และทรัพย์สิน การตีความในงานวิจัยของคุณ ธนะกิจ ทำให้สิทธิมนุษยชนเชิงพุทธไม่ใช่เพียงแค่เป็นแนวคิดนามธรรม แต่สามารถประยุกต์ใช้ในการเล่าเรื่องผ่านสื่อได้จริง แล้วก็เป็นประโยชน์กับคนในสังคมจริง อย่างเช่น สื่อต่างๆมองว่างานวิจัยเรื่องนี้ มันเป็นประโยชน์นะ ต่อสาธารณชน โดยเฉพาะคนจนหน้าจอ ส่วนในเรื่องของกรอบการนำเสนอ จากงานวิจัยเรื่องนี้เช่นรายการโทรทัศน์อื่นๆ ที่ยิ่งมาแล้วเนี่ย อย่างเช่นธรรมะใกล้ตัว หรือชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ที่ถ่ายทอดเรื่องราวคนยากไร้โดยเน้นคุณค่าความเป็นมนุษย์ สะท้อนความเมตตากรุณา แล้วก็ลดการตีความกล่าวหาว่า "ความจน" คือผลกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว เพราะว่า ลัทธิที่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาจากกรรมในอดีตนะ กรรมในอดีตเป็นผู้ลิขิตความเป็นไปของชีวิตในปัจจุบัน อันนี้จริงๆ แล้วความเชื่อแบบนี้ ก็ยังเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกตรงกับหลักกรรมในพุทธศาสนาสักเท่าไหร่ ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว หรือท่อนเดียว นิดเดียว นะครับ เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพราะผลกรรมในอดีตนะ คอยลิขิตนะ คอยดลบันดาลให้ความเป็นไปในปัจจุบัน การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้เนี่ย เป็นเพราะกรรมในอดีตลิขิตแล้วเนี่ย หรือเป็นพวกที่มีความคิดที่เรียกว่าเป็น mind นั้นก็ถือว่าเป็นการเชื่อเรื่องผลกรรมเพียงถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว ถ้าตามหลักความเชื่อเรื่องกรรม หรือหลักคำสอนเรื่องกรรมตามแบบของพระพุทธเจ้าอย่างเช่นเรื่องความจนที่ว่า เชื่อมโยงกับโครงสร้าง งานวิจัยเรื่องนี้ เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแล้วก็เป็นต้นแบบ รายการเช่นนี้ "คนจนหน้าจอ" เป็นต้นแบบของการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ที่สื่ออื่นๆ สามารถนำไปใช้ เมื่อจะนำเสนอดราม่า หรือเรื่องของผู้คนยากร้าย โดยเลี่ยงการสร้างมายาคติ แบบสงสารอย่างเดียว แต่เป็นการยกระดับให้เป็น ให้ยกระดับสื่อให้เป็นพื้นที่สร้างความเข้าใจ และก็ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และเป็นเรื่องใหม่ก็คือเรื่องของการสร้างวาทกรรมใหม่ โดยใช้แนวคิดนี้ทฤษฎีนี้ เรื่องของการพัฒนาวาทกรรมใหม่ ที่รื้อสร้างอุดมการณ์เดิมซึ่งเคยมองคนจนว่าไร้ค่า ให้กลายเป็นนักสู้ทางธรรม หรือเป็นผู้มีคุณค่าทางจิตวิญญาเรื่องกรอบของการสร้างวาทกรรมใหม่ ในการช่วยเหลือคนจนหน้าจอสามารถที่จะต่อยอดสู่การประชาสัมพันธ์ สามารถที่จะจำแนกออกเป็น 3 ระดับ อย่างเช่นว่า ระดับแรก ระดับสังคม สื่อสามารถออกแบบแคมเปญที่เล่าเรื่องผู้ยากไร้ฐานะเป็นผู้มีศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจแก่สาธารณะ เช่นการใช้สื่อทีวี หรือสื่อออนไลน์เป็นพื้นที่สร้างเรื่องเล่าที่มีชีวิตที่แสดงคุณค่าของคนทุกคนในระดับสังคม ถ้าในระดับชุมชนการประชาสัมพันธ์ควรเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางศาสนา เช่นโครงการวัดเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปัน เพื่อให้คนในชุมชนร่วมกัน แล้วก็ลงมือช่วยเหลือกันจริงๆ แต่นี้ในระดับนโยบาย ผลงานวิจัยนี้ เป็นข้อมูลผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ แล้วก็สื่อ สื่อสาธารณะ กำหนดแนวทางนำเสนอข่าวผู้ยากไร้ โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธ คือเมตตา กรุณา และความเสมอภาพ สิทธิความเท่าเทียมของ ของมนุษย์ตามแนวคิดพุทธศาสนา เมื่อประชาสัมพันธ์ในลักษณะนี้ การช่วยเหลือผู้ยากไร้ จึงไม่ใช่การสงเคราะห์เพียงชั่วคราว แต่เป็นการคืนศักดิ์ศรีและคุณค่าให้แก่พวกเขาอย่างยั่งยืน ซึ่งถ้าลงไปดูรายละเอียดงานวิจัยในเรื่องของธนะกิจ เขาไม่ได้ช่วยกันแค่ข่าวจบแล้วก็ทิ้งกันไป แต่ก็ยังมีการติดตาม มีการดูแล มีการช่วยเหลือจนเขาสามารถที่จะยืนอยู่ได้ด้วยลำแข้งของเขาเองได้
ด้านผู้วิจัย นายธนะกิจ อินยาโส ยังกล่าวอีกว่า จากการที่ผู้วิจัยได้ทำรายการโทรทัศน์ (Scoop)ที่ได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้ผ่านทางสถานีโทรทัศน์มาหลายสถานีและได้ช่วยเหลือผู้ยากไร้กว่า 1,000 ราย บางรายไม่เคยมีบ้านที่อยู่ที่กินที่อาศัย ขออาศัยที่คนข้างบ้าน ขออาศัยที่ธรณีสงฆ์ สร้างเพิงสังกะสีเก่าๆคอยหลบแดดหลบฝน ไม่มีแม้กระทั่งเงินสักแดงเดียวคอยประทังชีวิต ผู้วิจัยขออนุญาติยกScoopตัวอย่างที่เคยออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ชื่อตอนที่ว่า ชายชราผู้โดดเดี่ยว เป็นเรื่องราวของตาบุญชู เสือไหล ชายชราที่สู้ชีวิตตัวคนเดียวตั้งแต่เกิด ไม่มีลูกไม่มีเมีย ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง อาศัยเพิงสังกะสีเก่าๆอยู่เพียงลำพังที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอายุ ๗๒ ปี(ในเวลานั้น) ต้องยังไปเป็นยามเฝ้าโรงงานแต่กลับไม่ได้รับค่าตอบแทนบางวันมีเศษตังในกระเป๋าก็ได้แค่ซื้อมาม่าซองประทังชีวิต ขยี้มาม่าดิบๆกินกับน้ำเปล่า ใช้ชีวิตคนเดียวมาตั้งแต่เกิด ทั้งเหงา ทั้งเศร้า และว้าเหว่ เพิงไม้เก่าๆ มีสังกะสีที่ผุพัง ภายในมีชายชราผู ้หนึ่งที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเจอ หน้าพ่อแม่เลย หนำซ้ำเมียลูกก็ไม่มีใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมาตลอด อายุขัยก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที ชีวิตหลังจากนี้แกจะเป็นอย่างไร
ความโดดเดี่ยวของชายชราผู้นี้ที่เป็นแรงผลักดันให้เขาสู้อย่างเดียวดาย ถึงจะล้มลุกคลุกคลาน ลุงก็ไม่อยากเป็นภาระใคร ในบั้นปลายของชีวิตร่วมให้กำลังใจลุงเพื่อบั้นปลายชีวิตที่สดใสในปลายชีวิตที่หลือเหลืออยู่ หลังจากชีวิตลุงบุญชูได้ถ่ายทอดออกผ่านทางรายการ ลุงบุญก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างมหาศาล จนสามารถสร้างบ้านหลังใหม่ให้ลุงบุญชูได้ และยังมีเงินที่สามารถให้ลุงอยู่กินต่อเดือนได้ จนกว่าลุงจะจากโลกนี้ไป เพียงแค่นี้ผู้วิจัยและทีมงานก็มีความสุขที่ได้มอบสิ่งดีๆให้กับผู้ยากไร้ และอีกหนึ่งราย ที่ผู้วิจัยยังจำและตาตรึงในหัวใจคือตอนของยายบัว ที่นำเสนอผ่านทางช่องโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ชื่อตอนว่า ยายบัวแม่ผู้โดดเดี่ยว ซึ่งถ้าจำไม่ผิดในการนำเสนอตอนนี้จะเป็นเทปออกอากาศซึ่งใกล้วันแม่อีกด้วย ด้วยยายบัว ทองโสภา หญิงชราวัย 81 ปี (ในเวลานั้น) อยู่ในจังหวัดชลบุรี เคยมีชีวิตที่มีความสุขอยู่กับสามี เลี้ยงลูก 6 คน ตามอัตภาพแต่ก็มีความสุข จนเวลาได้ล่วงเลยไปสามีก็ได้ตายจาก ยายบัวต้องตกระกำลำบากเลี้ยงลูกคน 6 จนเติบใหญ่ แต่เหมือนฟ้าสาป ลูกที่เคยเลี้ยงมาทั้ง 6 คน หนีหายยายบัวไม่เหลือแม้แต่คนเดียวไม่เคยมาเหลียวแล ปล่อยให้ชีวิตยายบัวผู้อาภัพ ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอย่างเดียวดาย ไร้ลูก ขาดหลาน เหลียวแล กินข้าวต่างน้ำตา รอลูกกลับมาเยียวยาหัวใจ ที่ซ้ำร้ายยายยังโดนลูกหลอกเอาที่ดิน ที่อาศัยไปจำนองกับธนาคารแล้ว เชิดเงินหนีหายไป ยายบัว แม่ชราต้องนอนผวาทุกค่ำคืนเพราะกลัวที่ดิน ที่เคยพักพิงอิงกาย จะถูกธนาคารยึดไป ไหนจะอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะต้องอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไร้ลูกขาดหลานเหลียวแล ชีวิตของแม่ชรายายบัวที่แสนเศร้าคนนี้ เขาจะอยู่เขาจะกินกันอย่างไรความรัก ความห่วงใยที่แม่มีให้ต่อลูก แต่ลูกก็ยังมาทอดทิ้งแม่คนนี้ไป ลูกจะรู้หรือไม่ว่าความทุกข์ระทมของแม่คนนี้จะมีมากแค่ไหน ลูก 6 คน แม่เลี้ยงได้แต่แม่คนเดียวลูก 6 คนเลี้ยงแม่ไม่ได้ หลังจากที่เทปนี้ได้ออกอากาศไปก็ได้มีธารน้ำใจหลั่งไหลมาช่วยยายบัวจำนวนมาก จนยายบัว ได้ไปไถ่ถอนที่ดินคืนจากธนาคร แล้วมีเงินเดือนไว้อยู่ได้กินจนกว่ายายบัวจะจากไป นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเทปที่ผู้วิจัยและทีมงานได้ช่วยจนสำเร็จ และมีความสุขในหัวใจเสมอมาที่นึกถึง
จุดนี้เองจากการช่วยเหลือ และลงพื้นที่ของผู้วิจัย ทำให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ผู้วิจัยอยากเห็นคุณค่าของผู้ยากไร้เหล่านี้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจ และอยากมองเห็นสิทธิที่แท้จริงของ คนจน คนยากไร้ ไม่อยากให้ใครหลายคนมองเป็นการเชื่อมโยงเรื่องศักดิ์ศรี เพราะทุกคนล้วนแล้วมีสิทธิ ศักดิ์ศรี เท่าเทียมกันจึงต้องสร้างวาทกรรมใหม่เพื่อ ให้คนจนหน้าจอ เหล่านี้ได้มี สิทธิมนุษยชนเชิงพุทธ มีคุณค่าในตัวเอง มีความไม่ย่อท้อในชีวิต
และผู้วิจัยเชื่อว่า "เราเข้าใจคนจนผ่านจอ" มากกว่า คนหลายคนเข้าใจคนจนคนยากไร้เพียงแค่คำว่า "สงสาร" ผู้วิจัยเชื่อได้ว่า "คนจนไม่ใช่ความผิด" "ทุกคนมีสิทธิรู้สึกมีคุณค่า" และ "ศิลธรรมที่เห็นคนเท่าเทียมกันคือความยุติธรรมเชิงพุทธ"
