xs
xsm
sm
md
lg

“น้ำหวาน ซาซ่า” ย้อนปมรักขม หนักใจที่สุดที่ต้องเลือกระหว่าง “แม่” หรือ “แฟน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม? “น้ำหวาน ซาซ่า” เปิดใจเรื่องขมที่สุดในชีวิต รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทางเลือกระหว่าง “แม่” หรือ “แฟน” มันจบตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เลือก พร้อมย้อนชีวิตในอดีตสมัยเป็นนักร้องดัง เอาแต่ใจจนทีมงานเดือดร้อน ทุกเรื่องราวสอนให้เติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น

รายการ Podcast น้องใหม่ “ขมคอ Story Podcast” ของพิธีกรอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง “เบ็นซ์ จิรายุ จันทรวงศ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “เบ็นซ์ตุ๊ดย่อยข่าว” ที่เชิญแขกรับเชิญในวงการบันเทิงมาร่วมพูดคุยแชร์ประสบการณ์ชีวิตขมๆ แล้วผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาได้ยังไง

ล่าสุด ได้เปิดรายการพูดคุยกับอดีตนักร้องชื่อดัง “น้ำหวาน พิมรา เจริญภักดี” หรือ “น้ำหวาน ซาซ่า” เกิร์ลกรุ๊ปไอดอลยุค 90 ที่มาเล่าเรื่องราวที่โลดแล่นในวงการนี้มานานกว่า 20 ปี เข้าวงการตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง รวมถึงเรื่องราวความรักขมๆ ที่ผ่านมา

เข้าวงการตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
“หวานเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ ตั้งแต่ 9 ขวบ ฝั่งคุณแม่จะทำงานวงการบันเทิง คุณตาเป็นผู้กำกับ น้าใหม่ เจริญปุระ เป็นนักร้อง เลยให้เราไปสกรีนเทสต์ แต่คำว่าได้ มันต้องผ่านการเตรียมความพร้อมเยอะมาก”

ศิลปินฝึกหัดไปทางสายนักร้องเลยใช่ไหม จาก 9 ขวบ นานไหม ถึงจะออกมาเป็นซาซ่า?
“อายุประมาณ 13  อายุ 12 เริ่มอัดเสียง เราก็งงกับเรื่องราวในสิ่งที่เราต้องทำมากๆ อัลบั้มแรกที่ออกอายุ 12 ย่างอายุ 13”

เรารู้สึกยังไงบ้างกับทางแกรมมี่ที่จับพี่ๆ มารวมกับเรา พี่พิม พี่แก้ว?
“คือตอนนั้นเราก็มองว่าเราจะเข้ากันได้มั้ย เพราะหวานเคยชินกับการคบเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่โชคดีที่แก้วโตกว่าปีนึง แต่เรียนชั้นเดียวกัน ก็เลยมีเรื่องคอมม่อนที่ทำให้เราคุยกัน พี่พิมโตกว่าหวาน 4 ปี ใส่ชุดนักศึกษาสวยมาเลย หวานก็เลยรู้สึกว่าว่าเราจะเข้ากับเขาได้มั้ย เค้าจะเข้าใจเรามั้ย แรกๆ แน่นอนมันอยู่รวมกันก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากัน ทำความเข้าใจกันเยอะมาก กว่าที่จะมาลงล็อกกัน”

การเป็นศิลปินในยุคนั้น กว่าจะเดินทางมาถึงซาซ่า เขาให้เวลาเราศึกษากัน ละลายพฤติกรรมกันนานไหม?
“กับพี่พิมไม่นาน เพราะว่าพี่พิมมาช่วงตอนอัดเสียงแล้ว มาหลังสุด ก่อนหน้านั้นเป็นน้องพิ้งกี้ ตอนนั้นซาซ่าวางเป็นพิ้งกี้ พิ้งกี้ถูกโยกไปอีกโปรเจกต์นึง ก็เลยกลายเป็นพี่พิมพ์เข้ามา แต่หวานกับแก้ว มีความคุ้นเคยกันในระดับนึงตอนนั้นอยู่แล้ว เป็นศิลปินฝึกหัดที่ยังหลงเหลืออยู่ คนอื่นเขาไปหมดแล้ว บางคนก็ไปออกโปรเจกต์นั้นโปรเจกต์นี้ ก็เหลือไม่กี่คนที่คุ้นหน้า คุ้นตากัน พอรู้ว่ามาทำงานด้วยกันก็โอเค”

วันแรกที่เรารู้ว่าคนที่สามไม่ใช่พิ้งกี้ เป็นยังไงบ้าง?
“เจอเขาครั้งแรกทำไมสวยจัง ใส่ชุดนักศึกษา รู้สึกเขินที่จะพูดคุยด้วย ด้วยการที่วัยเราต่างกันเยอะ ตอนนั้นเรา ม.2 ม.3 พี่พิมอยู่ปี 1”

วันแรกที่เราสัมผัสความดังของเรา จำได้ไหมว่ามันเป็นวันไหนที่เรารู้สึกว่า ฉันดังแล้วมีคนทักฉัน สถานที่ไหน?
“จำได้ค่ะ มันคือที่สยาม แต่ก่อนจะมีร้านเทปชื่อร้านอินเมจิน วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่เราจะต้องออกจากโรงเรียนก่อนครึ่งวันเพื่อที่จะไปเตรียมตัว เพื่อที่จะขึ้นไลฟ์ คือคอนเสิร์ตครั้งแรก ก็ยังพูดอยู่เลยว่าถ้าไม่มีใครมาดู ก็เลยชวนเพื่อนที่โรงเรียน เลิกเรียนแล้วมายืนเป็นหน้าม้าให้หน่อย คิดว่าน่าจะไม่มีคนมา สรุปก็เป็นวันแรกที่หวานกรี๊ด เขามาดูเราเหรอไม่มีหลายวง แต่มีป้ายไฟเล็กๆ เขียนชื่อ ก็คิดว่าเป็นของเพื่อนเราหรือ ทีมงานเขาคงเอามาให้ สรุป เพลงเราตอนเราขึ้นไป เสียงกรี๊ดแรกนึกแล้วยังขนลุก มันดีจริงๆ แล้วเราก็รู้สึกว่า อ๋อ...ไอ้การขึ้นไปแล้วมีคนมากรี๊ดมันเป็นความรู้สึกอย่างนี้”

แล้วคิดไหมว่าซาซ่าจะเดินทางมาได้ยาวนานหลายปีขนาดนั้น?
“มันก็มีช่วงที่ตก มันก็ไม่ได้เรียกว่าตกมันก็จะมีความดังอยู่ในเพลงแต่ละอัลบั้ม บางอัลบั้มที่มันก็เงียบ แต่มันก็โชคดีที่ว่า เพลงฮิตของแต่ละอันที่ช่วยพยุงได้ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงวันนี้”

ตอนนั้นในวันที่เราเป็นซาซ่า มีฤทธิ์เดชหรือ ความเลือกได้ในแบบคาแรกเตอร์ของเรา เรารู้สึกอึดอัดไหมเหน่งคาแรกเตอร์ที่เขาเลือกให้เรา?
“เป็นคนรักสวยรักงามพื้นฐานอยู่แล้ว โรงเรียนให้ตัดผมบ็อบตอนอยู่ ม.2 ม.3 ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้น 1 นิ้วจากติ่งหู วัดจากไม้บรรทัด ก็ต้องตัดผมตัดทรงอะไรก็ต้องซอยผิดระเบียบก็โดนตัดคะแนนไป รู้มั้ยว่าซอยครั้งแรกหวานร้องไห้เลย”

ตอนเป็นซาซ่าเรามีวีรกรรมแสบอะไรมั้ย?
“ด้วยความที่เราทำงานแต่เด็ก ในเรื่องของการเรียนรู้ต่อโลกมันไม่มีหรอก มันจะรู้ได้ยังไง 9 ขวบ 10-11 ขวบ มันไม่รู้เรื่องต่อโลกใบนี้ รู้ว่าง่วงก็คือต้องนอน ง่วงแล้วก็ฟุบลงตรงนั้นเลยในสมัยนั้น โดยที่ไม่ทำไม่น่ารักหรือวีนทีมงาน ก็บอกเลยไม่ได้รอว่าทีมงานเขาเซย์เยสเซย์โน หรือบางทีทะเลาะกับเพื่อน ทำงานไม่ได้ อันนั้นคือตอนถ่าย MV อัลบั้มแรก เกิดการเขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้น ร้องไห้ทะเลาะกับเพื่อนในสาย ร้องไห้ทำงานไม่ได้ เราเหมือนเป็นเด็กเอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก โดยที่เราไม่มีกาลเทศะใดๆ เด็กมากและเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใดๆ บ้าง ในโลกของการทำงาน เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเขายากลำบากขนาดไหน แล้วก็วุ่นวายไปหมด ก็เลยมีสายไปถึงคุณแม่”

เป็นคนเดียวที่สามารถกำราบเราได้?
“ใช่ ซึ่งหวานเป็นคนค่อนข้างกลัวคุณแม่ด้วย คุณแม่ดุ ซึ่งวันนั้นเกิดขึ้นที่ศรีราชา ไปถ่าย MV เห็นรถแม่เลี้ยวเข้ามา หวานก็ขนลุกซู่ กองก็เบรก แม่พูดว่ามานี่มา ตรงนี้มีเรื่องจะพูดด้วย เพราะตอนนั้นเพิ่งแผลงอิทธิฤทธิ์ไป และตอนนั้นยังเป็นซาซ่าเต็มตัว กำลังอยู่ในช่วงถ่าย MV คุณแม่ถามว่าจะเอายังไง หวานรู้ว่าหวานเป็นอย่างนี้ช่างไฟ ตากล้อง ทีมงาน สวัสดิการทุกคนผู้กำกับ เพื่อนร่วมงานหวานช่างแต่งหน้า เขามาตั้งแต่กี่โมง คิดว่าเขามาพร้อมหวานเหรอ หวานมาถึงหวานมาแค่แต่งหน้าแล้วทำในสิ่งที่หวานต้องทำ หวานทำให้เขาเสียเวลา หวานไม่คิดเหรอว่าเขาต้องคิดถึงที่บ้าน เขาเหนื่อยกว่าเรา

เรากลับบ้านเขาต้องนั่งเก็บของ เขากลับยังไงหวานขึ้นรถกลับสบาย แต่เขาต้องนั่งเบียดกันกลับ เขาเดือดร้อนเขาลำบากกว่าเรา ค่าตอบแทนเขาก็ไม่ได้เยอะ หวานทำให้เขาเสียเวลา มาทำให้คนอื่นเสียเวลามากๆ หวานทำอย่างนี้กับคนอื่นได้ยังไง หวานเป็นคนยังไง แม่ทำหวานแบบนี้หวานก็เลยร้องไห้ เออ...หวานไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ไม่มี อยู่ในหัว หวานอึ้งหวานร้องไห้เลย มองไปรอบๆ เออว่ะ เขาเหนื่อยกว่าเรา มากกว่าเรามาก แล้วหวานทำตัวแบบนี้เหรอ

แม่มีทางเลือกให้หวาน 2 อย่าง คือหวานกลับกับแม่ไม่ต้องทำแล้วดีกว่า หวานไม่เหมาะ หวานก็บอกว่าหวานฝึกมาตั้งนาน แม่เลยถามว่านี่หวานฝึกแล้วเหรอ ไม่ได้ฝึกเรื่องมารยาทต่างๆ แม่ว่า ต้องเอาหวานไปฝึกใหม่ หวานต้องกลับไปเรียนแต่ถ้าหวานคิดจะทำต่อ ออกไปหวานต้องเปลี่ยนนะ จากวันนี้ไปตลอดชีวิต หวานเลยบอกแม่ว่าหวานจะเดินไปขอโทษทุกคน หวานทำให้เขาเสียเวลา หลังจากนั้นเราก็พยายามที่จะไม่เป็นคนแบบนั้น แต่ก็มีช่วงจังหวะบางแรกๆ แหละ มันไม่มีใครหรอกที่เปิดสวิตช์แล้วเปลี่ยนได้เลย ถ้าอย่างนั้นคือโกหก บางทีทะเลาะกับเพื่อนเรารู้ตัวเราก็พยายามเดินไปทำอย่างอื่น ทำอะไร มองคนอื่นรอบข้างให้มากๆ มันก็เลยติดนิสัยจนมาถึงปัจจุบันนี้”

การทำโทษของคุณแม่ที่เรายังจำได้เลย?
“การทำโทษของคุณแม่ตอนเด็กคือก้านมะยม คุณแม่จะตีด้วยเหตุผล โดยการที่คุณแม่จะไม่เด็ดก้านมะยมเอง โดยให้หวานเป็นคนไปเด็ด โดยแม่จะถามก่อนว่าหวานผิดตรงไหน หวานทำอะไร เรื่องหวานขี่จักรยานไป แม่ไม่ให้ขี่จักรยาน ป้าหวานขี่ไม่แข็งกลับมาขาแหก ชนต้นเฟื่องฟ้า หยิบไก่มะยมมาตามที่หวานเห็นสมควร พอโตมาคุณพ่อคุณแม่พูดด้วยเหตุผลเราก็เข้าใจ พอเราโตแล้วมันก็โอเค”

ช่วงเวลาผ่านมาในวัยผู้ใหญ่ มีความขมอะไรในชีวิต ที่มันรู้สึกว่าก้าวข้ามผ่านยากเหลือเกิน?
“เอาตรงๆ หวานก็มีความขมที่คนรู้และคนไม่รู้ แต่ถ้าเป็นความขม ถ้าความขม ทุกคนรู้ก็จะเป็น ความรักครั้งล่าสุดที่จบไปที่เป็นข่าว วิธีก้าวข้ามผ่านคือหวานจะเป็นคนปล่อยให้ตัวเองเสียใจจนสุด หวานจะร้องไห้หนักมาก กว่าจะเล่น MV ฟังเพลงเศร้าคลุมโปง นอนซมอยู่บนเตียงจมอยู่แบบนั้น ปล่อยให้ตัวเองจมไปถึงสุดๆ

จนสุดท้ายลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำแล้วดูตัวเอง ทำไมเราผ่านไป 2-3 วัน ทำไมเราเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ เราไม่เอาอะไรเลยเหรอเนี่ย ทั้งๆ ที่คนอื่นก็พยายามอยากให้เราดีขึ้น เราก็ไม่ได้การแล้ว เราเลยลุกขึ้นมารีเซ็ต สภาพร่างกายตัวเองก่อน อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย เราต้องลุกแล้วเพราะเรายังมีงานต้องทำ ทั้งงานในวงการบันเทิง ทั้งงานการเป็นครูสอนดำน้ำ เรามีหลายสิ่งที่รอเรา เราอนุญาตให้ตัวเองจมได้ 2-3 วัน เราต้องรีเฟซตัวเองก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก มันก็ช่วยภายนอกได้นิดหน่อย แต่ภายในก็ยังดีฟดาวเหมือนเดิม

ตั้งสติคิดทบทวนเพราะชีวิตเราเป็นเหมือนกระดาษ A4 นั่งดูว่าจุดขาว จุดเปื้อน อะไรมันเวตกันแล้วมากกว่ากัน เราเป็นมนุษย์เรามีสิทธิ์มีจุดเปื้อน ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เราเขียนลงไปมองรับความจริง ตามความเป็นจริงว่านี้เรา อันนี้เราทำไม่ดี แต่พอเวตกันแล้ว สมมุติ ด้านขาวมันเยอะกว่า สิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือการให้ value กับส่วนที่เราทำดีอันนั้น เอามาแปะไว้ หวานเขียนเป็นข้อเลยนะว่าสิ่งไหนที่เราทำดีในเรื่องนี้ แล้วสิ่งไหนที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่ดี พอดูเสร็จปุ๊บเราให้ value ในสิ่งที่เราทำดีมาตลอด มันก็ทำให้เรารู้สึกฟูขึ้นมานิดนึง

ตอนนั้นเราไม่รู้จักคำว่ารักตัวเอง เรารู้จักแต่การรักคนอื่น เรารู้สึกว่านี่เป็นก้าวแรกที่เราให้ value กับตัวเอง เรามีโอกาสทำดีอะไรมาบ้างแต่หนึ่งอย่างที่ยากสำหรับหวานคือคนรอบตัวหวาน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ เพื่อน ผู้จัดการ ไม่เคยมีใครผ่านเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาให้กำลังใจเราได้ เขาเชียร์อัปเราได้ เราต้องมีต้นทุนในใจของเราที่เราดีขึ้นติดตัวไปบ้าง ถ้าเรามัวแต่ไปศูนย์เลย ขอกำลังใจจากคนอื่นเขาไม่เคยเจอแบบเรา เขาเข้าใจในทุกเรื่องในสถานการณ์ แต่เขาไม่ได้เข้าใจในฟีลลิ่งที่เรากำลังก้าวข้ามผ่าน เราก็ก้าวข้ามผ่านความขมนั้นมาได้ หวานไม่เคยพูดที่ไหน หวานใช้เวลาในการฮีลใจเดือนครึ่ง จากเทคนิคนี้ แต่หวานจะไม่บอกตัวเองว่าไม่ร้องไห้ถ้าเมื่อไหร่หวานอยากร้องไห้ หวานก็ร้อง มันเป็นการระบายอย่างนึง สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ เพราะว่าเราเองก็ไม่อยากเสียเวลา”

เหตุการณ์ไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องเริ่มรักตัวเอง?
“เหตุการณ์นี้แหละ เรารู้สึกว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา เราเป็นคนที่รักคนอื่น มีแฟนเราก็รักแฟนมาก สูญเสียความเป็นตัวเอง อะไรก็ได้ต่อให้เราไม่อยากทำ เราไม่ชอบ เราพร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเรา”

นั่นหมายความว่าความสุขของเราอยู่ที่เขา?
“ความสุขของเราอยู่ที่เขาตลอดเวลา บางทีที่เราไม่ชอบ เราว่ามันไม่ได้ เราก็แถไป เพียงแค่เราไม่อยากขึ้นชื่อว่าเลิกกับแฟน เราเลิกกับแฟนมันก็แค่เราเลิกกัน มันก็จะกลายเป็นว่าคนรู้ไปทั่ว ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น อยากจะมีภาพที่มันสมบูรณ์ แต่สุดท้ายพอเรามานั่งมองตรงนี้ วันนี้เรารู้สึกว่าเราไม่ควรที่ทำแบบนั้น มันเป็นการกระทำที่ผิด เรารู้ รู้อยู่แล้วอายุขนาดนี้เรารู้ เพียงแค่เราแคร์ เกิดขึ้นรอบข้าง แคร์ความคิดคนอื่นมากกว่าสิ่งที่เราเป็นจริงๆ นั่นแหละคือ ถ้าเราเริ่มรู้สึกกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองให้ value ตัวเอง ให้คุณค่ากับสิ่งที่เรารู้สึกจริงๆ เรารู้สึกยังไง เราจริงใจกับความรู้สึกตัวเอง ก็เพิ่งเริ่มต้นเรื่องนี้ได้ไม่นานมานี้ก็คือปีนี้แหละ”

เริ่มรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นจะต้องเอาความสุขไปแขวนอยู่กับใคร?
“เราเคยได้ยินประโยคนี้มาบ่อยมาก จากโค้ชคนนั้นคนนี้จากหนังสือต่างๆ เราอ่าน แต่เราไม่เคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ การที่เราจะต้องทำแบบนั้น แต่ ณ วันที่เราอ่านเราคิด คิดได้ ได้สติ ก็จริงนะ เมื่อไหร่ถ้าเอาอะไรไปฝากไว้กับใคร ไม่ต้องอะไรหรอกไม่มีใครดูแลอะไรได้ดีเท่าเท่ากับตัวเราทำหรอก ใจเราก็เหมือนกัน ใครจะดูแลใจเรา ได้ดีเท่ากับตัวเรา”

มุมมองคนนอก จากตามข่าว น้ำหวานคือคนกลาง ระหว่างแฟนกับแม่ ณ โมเมนต์สถานการณ์นั้นมันเครียดมาก เรารับมือกับการเป็นคนกลางยังไง?
“ณ วันนั้น มันรับมือแบบไม่มีสติ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเข้ากันได้ดี ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ากันได้ดี ไม่แน่ใจ ความที่เขาเป็นคนอาจจะมีนิสัยที่คล้ายกัน มันก็เลยทำให้บางอย่างบางครั้งมุมมองมันไม่ลงล็อกกัน แต่เขาก็จะเคลียร์กันเอง มีอันนี้เขาก็พูดกัน มันก็น่าจะออกมาดี เราก็เลยรู้สึกลำบากใจเป็นช่วงๆ เวลาที่เขามีนิดนึงต่อกัน แต่เขาก็จะมีวิธีในการคุยกลับเข้ามาหากัน คุณแม่รักอดีตแฟนหวานเหมือนลูก อดีตแฟนหวานก็รักคุณแม่ เข้ากันได้ดี บอกทั้งต่อหน้าคุณแม่คุณพ่อหวานด้วย

เราในฐานะคนกลางถ้าเขาเคลียร์กันได้ด้วยดี ไม่ได้หนักใจเท่าไหร่ จนมาถึงช่วงท้ายๆ ที่รู้สึกหนักใจ ก่อนจบหนักใจเพราะว่ามันพาดพิงไปมั่วซั่วหมดแล้ว โดยบางทีบางอย่างเราไม่สามารถพูดได้ มันเกินกว่าจะเคลียร์แล้ว มันเหมือนมันไปกันใหญ่แล้ว นั่นคือช่วงที่หนักใจมากที่สุด และ ณ วันหนึ่งที่เราจะต้องเลือกระหว่าง แฟนเราก็รัก แม่เราก็รัก ณ โมเมนต์นั้น”  

ติดตามรายการเต็มรูปแบบได้ ทางช่อง YouTube : BenzKhomKorr เบ็นซ์ ขมคอ ทุกวันอังคาร เวลา 21.00 น. 















กำลังโหลดความคิดเห็น