เป็นข่าวเศร้าของวงการเพลงเลยทีเดียวเมื่อมีรายงานว่า ศิลปินไอคอนระดับตำนาน “ทีน่า เทอร์เนอร์” ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 83 ปี โดยทางตัวแทนได้ออกมายืนยันข่าวการเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ( ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ) ว่าเธอได้จากไปอย่างสงบที่บ้านพักในเมือง คุสนาคท์ ใกล้กับ ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้เปิดเผยถึงสาเหตุการเสียชีวิต
ในแถลงการณ์การเสียชีวิตของศิลปินระดับตำนานได้ระบุว่า “เป็นความเศร้าอย่างที่สุดที่ต้องประกาศข่าวการเสียชีวิตของ ทีน่า เทอร์เนอร์ ความหลงใหลทางด้านดนตรีและการใช้ชีวิตอย่างไร้ขอบเขต ทำให้แฟนเพลงทั่วโลกหลายล้านคนต่างหลงเสน่ห์ และเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินที่เป็นดาวดวงใหม่ในอนาคตด้วย วันนี้เราได้บอกลาเพื่อนอันเป็นที่รักผู้ที่ทิ้งผลงานเพสุดยิ่งใหญ่ไว้ให้กับพวกเราทุกคน นั่นก็คือ เพลงของเธอ ขอส่งความรักความเมตตาจากใจไปยังครอบครัวของเธอ.. ทีน่า เราจะคิดถึงคุณตลอดไป”
การเสียชีวิตของ ทีน่า เกิดขึ้นเพียง 5 เดือนหลังจากที่เธอได้สูญเสีย รอนนี ลูกชายของเธอที่เกิดกับ ไอค์ เทอร์เนอร์ อดีตสามี
รอนนี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. จากภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแพร่กระจาย ขณะมีอายุ 62 ปี ซึ่งเวลานั้น ทีน่า ได้ระลึกถึงลูกชายด้วยการเขียนข้อความลงในอินสตาแกรมวันที่ 9 ธ.ค. โดยระบุว่า “รอนนี ลูกจากโลกนี้ไปไกลเร็วเกินไป แม่หลับตาและคิดถึงลูกด้วยความเศร้า ลูกชายสุดที่รักของแม่”
ทีน่า เทอร์เนอร์ หรือชื่อเดิมว่า แอนนา เม บัลล็อค เกิดวันที่ 26 พ.ย. 1939 เติบโตในเมืองชนบท Nutbush รัฐ Tennessee สหรัฐอเมริกา ซึ่งเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยเด็กไปกับการร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ แม้ว่าครอบครัวของเธอจะอยู่ในสภาวะตึงเครียดจากเหตุที่พ่อทำร้ายร่างกายแม่อยู่เสมอ พอเธออายุได้ 11 ปี แม่ของเธอก็ได้ทิ้งครอบครัวและย้ายไปอยู่ที่รัฐเซนต์หลุยส์ ทำให้เธอและพี่สาวอีก 2 คนถูกเลี้ยงดูโดยปู่ย่าและญาติๆ
ทีน่า ใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งในเทนเนสซี และ มิสซูรี ขณะที่ในรัฐ เซนต์หลุยส์ ทีน่า และพี่สาวได้เริ่มทำงานในคลับเพลงบลูส์ของท้องถิ่น รวมถึง Manhattan Club ที่สามีของเธออย่าง ไอค์ เทอร์เนอร์ และวง Kings of Rhythm ของเขาทำงานอยู่ในช่วงยุค 1950
ในไดอารี My Love Story ของ ทีน่า เมื่อปี 2018 เธอได้เผยความรู้สึกถึง ไอค์ ผู้เป็นสามีว่า “ตอนแรกไม่ได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเขาเลย แต่พอเขาเล่นดนตรีแล้วไปแตะโน้ตตัวหนึ่ง ฉันคิดเลยว่า ‘พระเจ้า ฟังผู้ชายคนนี้เล่นสิ’ “
ทางฟากอดีตสามี ก็เคยไม่ยอมรับ ทีน่า ให้เข้าร่วมวงดนตรี แต่เขาก็ต้องจำนนเมื่อได้ยินเธอร้องเพลง You Know I Love You ของ B.B King ในคืนหนึ่งระหว่างช่วงพักเบรก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปในฐานะเพื่อนร่วมงานอยู่นานหลายปี ซึ่งในช่วงนั้น ทีน่า มีแฟนอยู่แล้วจนมี เครก ลูกชายคนแรกกับ เรย์มอนด์ ฮิลล์ นักแซกโซโฟนในปี 1958 ก่อนที่จะมาสานสัมพันธ์กับ ไอค์
“ความสัมพันธ์ของฉันกับ ไอค์ มันเริ่มขึ้นเมื่อเขาพบว่าฉันจะเป็นตัวทำเงินให้เขาได้” เธอเผยผ่านไดอารี โดยระบุว่า ไอค์ เข้าควบคุมทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อ “เขาต้องการที่จะบงการฉัน ทั้งเรื่องการเงิน ร่างกาย และสภาพจิตใจ เพื่อที่ฉันจะไม่สามารถทิ้งเขาไปไหนได้”
ความสัมพันธ์ของเธอกับ ไอค์ ทำให้มีลูกด้วยกันคือ รอนนี ที่เกิดในปี 1960 ก่อนที่จะแต่งงานกับ ไอค์ ในปี 1962 ซึ่ง ทีน่า ยอมรับว่าเธอถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจมายาวนาน อย่างไรก็ตามแม้หลังบ้านจะมีปัญหาแต่เบื้องหน้าบนเวที ทั้งคู่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากผลงานเพลงฮิต A Foolin Love , It’s Going to Work Out Fine, I Idolize You และ I Can’t Believe What You Say ในช่วงยุค 1960 และภายใต้ชื่อ Ike & Tina Turner Revue พวกเขาได้โคฟเวอร์เพลงของ The Beatles อย่าง Come Together และเพลง Proud Mary ของ Creedence Clearwater Revival ที่ทำให้พวกเขาดังเป็นพลุแตก จน ทีน่า เองได้รับการขนานนามว่า “ควีน ออฟ ร็อก แอนด์ โรล”
จนกระทั่งในปี 1976 หลังจากที่ต้องทนทุกข์กับชีวิตคู่ที่ถูกทำร้ายมานานหลายปี ทีน่า ก็ได้ทิ้ง ไอค์ ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกเผยใน อัตชีวประวัติ What's Love Got to Do With It ในปี 1993 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่ออกเดนสายทัวร์ด้วยกัน และขณะที่ ไอค์ กำลังนอนหลับ ทีน่า ก็ได้ย่องออกจากโรงแรมที่พักโดยมีเพียง บัตรเครดิต และเงินติดตัวอีก 36 เซนต์ เธอได้ยื่นฟ้องหย่าในอีกไม่กี่วันต่อมา ก่อนที่การหย่าจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 1978
ในเวลานั้นเหล่านักวิจารณ์ต่างพากันคาดการณ์ว่า ชีวิตบนเส้นทางดนตรีของ ทีน่า คงจบลงแล้ว ก่อนที่เธอจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคิดผิด
“เมื่อดูจากอายุของฉันในตอนนั้นคืออายุ 39 เพศ สีผิว และช่วงเวลาตอนนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นอุปสรรค์ต่อฉัน แต่คุณก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป”
ในปี 1984 เธอออกผลงานอัลบัมเดี่ยวของตนเอง Private Dancer ที่มีเพลงฮิตอย่าง Better Be Good To Me และเพลงที่เป็นไอคอนนิคอย่าง What's Love Got to Do with It ที่กวาดรางวัลแกรมมีไปได้ถึง 4 รางวัล
นับจากตอนนั้น ทีน่า ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาด้วยเพลง "We Don't Need Another Hero (Thunderdome)" เพลงประกอบภาพยนตร์ Mad Max Beyond Thunderdome และเพลงธีม เจมส์ บอนด์ ที่โด่งดังในปี 1995 ในตอน Golden Eye
ในส่วนของชีวิตส่วนตัว ทีน่า พบรักอีกครั้งกับ เออร์วิน บาค นักดนตรี โดยพบกันครั้งแรกปี 1986 และตัดสินใจแต่งงานกันในเดือน ก.ค. 2013 หลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน 27 ปี
ทีน่า เทอร์เนอร์ เป็นศิลปินคุณภาพที่มีรางวัลการันตีมากมายทั้ง 3 รางวัล American Music Awards , 12 รางวัล Grammy และรางวัลเชิดชูเกียรติ Kennedy Center Honor ซึ่งเธอเองยังมีชื่ออยู่ใน Rock & Roll Hall of Fame คู่กับ ไอค์ อดีตสามี เมื่อปี 1991 และได้มีชื่ออยู่ใน Rock & Roll Hall of Fame อีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวเมื่อปี 2021
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ทาง The Guardian เพียง 6 สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอได้เผยว่า เธออยากเป็นที่จดจำในฐานะ “ควีน ออฟ ร็อก แอน์ โรล”
“ฉันอยากเป็นที่จดจำในฐานะ ควีน ออฟ ร็อก แอนด์ โรล เป็นที่จดจำในฐานะ ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงคนอื่นๆได้เห็นว่า เราสามารถลุกขึ้นสู้และมุ่งมั่นทำทุกอย่างเพื่อสร้างความสำเร็จได้ด้วยตนเอง”
เจ้าตัวยังเผยว่าเธอไม่กลัวความตาย แม้จะอายุมากขึ้นทุกวันๆ “ฉันไม่กลัวเลย นี่คือชีวิตที่เต็มไปด้วยการผจญภัย และฉันก็น้อมรับและยอมรับในทุกๆวันกับสิ่งที่ชีวิตจะนำพาไป”
ทางด้านคนดังต่างก็ออกมาร่วมไว้อาลัยมากมายทั้ง มิค แจ็คเกอร์ ที่ระบุว่า “ผมเสียใจต่อการจากไปของเพื่อนที่แสนวิเศษ ทีน่า เทอร์เนอร์ เธอเป็นนักร้องและศิลปินที่มีความสามารถอย่างที่สุด เธอคือแรงบันดาลใจ คนที่อบอุ่น ตลก และใจดี เธอช่วยเหลือผมอย่างมากตอนที่ผมยังหนุ่ม เราจะไม่มีวันลืมเธอเลย”
ด้าน จอร์โจ อาร์มานี ที่เป็นเพื่อนสนิทกับเธอก็ได้ระบุว่า “ผมได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของ ทีน่า เทอร์เนอร์ มันทั้งเศร้าและทั้งไม่อยากจะเชื่อ ด้วยพลังที่ล้นเหลือของเธอ ทำให้คิดว่าเธอเป็นอมตะ แต่ถึงอย่างไร ดนตรีคืออมตะจริงๆ ผมจะคิดถึงเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ คนที่ผมรู้สึกยินดีในการรังสรรค์ชุดให้เธอในทุกๆครั้ง ในส่วนของชีวิต เธอเหมือนกับใช้ชีวิตเดินขึ้นไปบนเวที ด้วยพลังที่บริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม ผมเสียใจอย่างสุดซึ้ง”