เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจ สำหรับอดีตพระเอกละครจักรวงศ์ “หนึ่ง มาฬิศร์ เชยโสภณ” วัย 52 ปีที่เคยโด่งดังสุดขีด เกิดอะไรขึ้นถึงเหลือเงินในบัญชีแค่ 55.55 บาท อีกทั้งยังเข้าไปพัวกันกับยาเสพติดจนโดนจับเข้าเรือนจำ ถูกวงการแบนไป 2 ปี วันนี้ (15 พ.ค.) ในรายการแฉ หนึ่ง มาฬิศร์ ก็ได้เผยถึงความไม่แน่นอนของชีวิตให้ฟัง
“ตอนดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงดังมาก ตอนนั้นชีวิตกราฟพุ่ง จนอยู่ๆ คุณพ่อไม่สบาย ตรวจพบเป็นมะเร็งระยะที่สาม จะไประยะที่สี่ เราก็ช่วยกันดูแลกันไป แต่ช่วงนั้นงานแน่น พีก หลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อก็เสีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดเลย จากชีวิตที่มีงานทุกวัน อยู่ๆ งานก็หายไป หายไปเพราะเราหน้าช้ำ เช้า กลางวัน เย็น เราเล่นละครตลอด คนเห็นตลอด
แรกๆ ดาราน้อย แต่ตอนหลังดาราเยอะขึ้น แล้วก็วัยก้ำกึ่งด้วย เหมือนจะพ่อแต่ก็ไม่ถึงพ่อ หลายๆ อย่างรวมกัน อยู่ๆ ก็พลิกไปเลย จากทุกอย่างกำลังไปได้ดีก็คิดว่าเราน่าจะมองอาชีพเสริม หาอะไรทำรองรับบ้าง แต่เราไม่ได้มีความรู้ ตอนนั้นอิมพอร์ตเฟอร์นิเจอร์ ลงทุนไปเยอะเหมือนกันน่าจะ 2 รอบ แต่ก็โอเค ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ลงทุนไปปุ๊บจะได้คืนมาเดี๋ยวนั้น ต้องใช้เวลา แต่มันไม่เวิร์ก ประกอบกับงานในวงการไม่มี แล้วหลังคุณพ่อเสีย คุณแม่ก็ป่วยตาม ช่วงนั้นประเดประดัง จิตใจเหมือนเข้มแข็งเพราะเราคิดว่าเราเป็นลูกคนโต ได้ เรารับไหว เราโอเค แต่จริงๆ ข้างในเวลาเหนื่อยๆ ล้าๆ ก็ไม่รอดเหมือนกัน”
เผยนาทีเงินเหลือในบัญชี 55.55 บาท บอกแม้แต่เอทีเอ็มยังหัวเราะเยาะเรา
“จากชีวิตเป็นเส้นตรงก็พัง เงินจะกินข้าวไม่เหลือ จะกดเงินแล้วเหลืออยู่ 55.55 บาท ตอนนั้นจิตใจเราก็แย่ เราคิดลบไปหมด ดูสิ เอทีเอ็มยังหัวเราะใส่เราเลย บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อ เขาก็จะบอกว่าไม่จริงหรอก อย่ามาอำเลย พอเราเจอแบบนี้เยอะๆ ก็ไม่พูดก็ได้ เก็บๆ กับตัวเอง กดลงไปเรื่อยๆ ที่เหลือ 55 บาท หนักๆ เลยคือหมุนบัตรเครดิต 10 กว่าใบ รูดบัตร ไม่มีเงินสดก็กินข้าวรูดบัตร แล้วกดเงินสดออกจากบัตรเครดิต ดอกเบี้ยประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์”
เป็นหนี้เกือบล้าน ต้องขายสมบัติกิน ซึ้งแบรนด์เนมก็ไม่ได้มีค่า
“หนี้สินเกิดเกือบล้านได้ เป็นหนี้จากดอกเบี้ยเยอะ เราจ่ายขั้นต่ำ ก็ทบไปเรื่อยๆ พอไม่มีก็รูดอันนี้ เต็มแล้วๆ ต้องใช้แต่ไม่มีเข้ามา ชีวิตเรียนดี อยู่วงการบันเทิงเป็นสิบๆ ปี วันนึงเงินที่หามาทั้งชีวิต จนวันนี้เงิน 10 ปีที่ทำงานมาหมดเกลี้ยง ติดลบด้วย ต้องเอาสมบัติที่มีมาขาย นาฬิกาไปก่อนเลย เป็นดาราก็หน้าบางเวลาจะไปขายก็ให้เพื่อนช่วยหน่อย เพื่อนก็ถามให้ ก็ได้ราคาหรอก ปาเต๊กควรได้ราคาเท่านี้ แต่ก็ไม่ได้ เพราะเรารีบร้อน ก็ต้องเอาแล้ว มันไปก่อนเลย พวกทรัพย์สินก็ถูกแปรไป แบรนด์เนมที่ซื้อมาทั้งหลายถึงเวลาก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น
เหตุการณ์ถามว่าสอนอะไร ช่วงนั้นขาดสติเลย เราเติบโตมาอยู่ในสังคมที่ดี พ่อแม่ดี แต่จุดนึงเราอาจหลงแสงสีด้วย เงินได้มาง่าย อยากได้อะไรก็ได้ ก็ซื้อ ก็ใช้ ไม่ได้คิดถึงวันนึงที่จะไม่มีเข้ามา”
เครียดหาทางออกไม่ได้ สุดท้ายพึ่งยาเสพติด โดนรวบคาบ้าน
“ถามว่ายาเสพติดเกิดขึ้นได้ยังไง พอมันเครียดมาก ก็หาทางหนี เราทำงานในวงการตรงนี้ก็มีความใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับบางอย่าง ที่ไปสายดาร์ก ช่วงนั้นพอลองแล้ว เออ ก็ช่วยทำให้เวลาช่วงนึงในโมเมนต์แย่ๆ หายไป มันก็หลอกตัวเองแหละ เพราะปัญหาก็เหมือนเดิมไม่ได้ถูกแก้ ยิ่งแย่กว่าเดิมด้วย
ยาเสพติดเวลาเราอ่อนแอ ก็ทำลายเราหมดเลย ใช้ยาเสพติดหนักๆ ช่วงท้ายๆ ก่อนโดนจับน่าจะ 6 เดือน ใช้ค่อนข้างต่อเนื่องมากๆ มันเป็นช่วที่พอเรามีปัญหา พอเราพูดไป เขาไม่เชื่อ เขาคิดว่าอำ เราก็เก็บตัว ยิ่งเราเป็นพวกอินโทรเวิร์ตอยู่แล้ว คิดวนอยู่กับสิ่งที่ไม่มีทางออก โชคดีที่วันนั้นโดนจับ ถ้าไม่โดนจับอาจเป็นเอเย่นต์ขายยาไปแล้ว ถ้าถึงจุดนั้นไม่มีเงินเราอาจเลิกเวย์นั้นไปเลยก็ได้
เหตุการณ์โดนจับ คิดว่าเป็นช่วงที่เล่นยาค่อนข้างเยอะ พวกนี้หลุดไปง่ายอยู่แล้ว สายตร.ก็มีอยู่แล้ว ตอนลองเล่น เราก็โทษตัวเองนี่แหละ เราเป็นคนเลือกเอง แต่โดนจับที่บ้านเลย”
นั่งนิ่งในห้องขัง 5 ชม. กับสิ่งที่คิดได้
“ต่อให้เป็นดาราก็โดนจับ จับแล้วเข้าห้องขัง วันที่อยู่ในห้องขัง ถามว่าอะไรสอน จำได้ว่าช่วงเที่ยงคืนไปอยู่ในห้องขังสน.ก่อน ตอนโดนจับเหมือนกับโดนตบหน้า อยู่ๆ เฮ้ย ขาดสติ มีคนมาตบหน้าปั้วะ แล้วมึนไปช่วงนึง แต่พออยู่ในห้องขังสติกลับมา แม่เป็นสายธรรมะธัมโม สอนเรามาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่เคยเชื่อ วันนั้นพวกนั้นกลับมาเลย คำแรกคือสติ พอสติกลับมาปุ๊บเหมือนดูหนังแล้วแฟลชแบ็ก ทุกอย่างไหลมา เราก็ดูเรื่องราวแล้วยอมรับกับมัน เราทำอะไรลงไปบ้าง ช่วง 5 ชม.ที่อยู่ในห้องขัง ไม่ได้ขยับเลย นั่งนิ่งๆ ท่าเดียว พอมีสติและยอมรับกับมันได้ ทุกอย่างก็เบาหมดเลย พร้อมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราตัดสินใจทำแบบนี้แล้ว เราโทษตัวเองและยอมรับกับมัน
สมัยนั้นการเป็นข่าวหน้าหนึ่ง การเป็นนักแสดง ไปไหนคนมองอยู่แล้ว พอขึ้นข่าวหน้าหนึ่ง หลายคนก็บอกว่าอยู่กับบ้านอยู่เซฟเฮ้าส์เก็บตัวเงียบๆ สักพักก่อนไหม ก็ไม่ พอเรายอมรับตัวเองได้แล้ว เราก็ออกไปใช้ชีวิตปกติที่สุด ออกไปซื้อข้าวกินปากซอย เดินไปคนก็โอ้โห มองยิ่งกว่าตอนเป็นนักแสดง แต่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องเจอ ต้องยอมรับให้ได้ แต่มีคนให้กำลังใจนะ ไปกินก๋วยเตี๋ยว น้องพนักงานเสิร์ฟ เขียนในทิชชู่เป็นกำลังใจให้นะคะพี่แล้วก็เขียนรูปหัวใจมา หรือบางคนใช้ยาเสพติดอยู่ เดินเข้ามาแล้วปรึกษา อยากเลิก ทำไง ถ้าวันนั้นเก็บตัวอยู่กับบ้าน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตให้ปกติเร็วที่สุดเราจะยิ่งทรุด
เล่นละครมาเยอะ ละครที่ดูมีจุดจบของตัวละคร แต่มนุษย์ไม่รู้จุดจบ จนกว่าจะตายโน่นแหละ ตอนจบเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ใจแตกตอนแก่มีจริง แต่ตอนนั้นก็ไม่แก่มากนะ 30 กว่า ก็โดนแบนไป 2 ปี เหมือนประตูบานนึงปิด ก็มีอีกบานเปิดเข้ามา นิตยสารแพรวมาสัมภาษณ์เรื่องนี้ แล้วคนสัมภาษณ์บอกว่าชอบเขียนหนังสือไหม เราก็บอกว่าชอบ เขาบอกลองเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กไหม ก็เขียนไป ทางนิตยสารแพรวก็พิมพ์ให้ พอมีพ็อกเก็ตบุ๊กออกมา มีน้องคนนึงเขาบอกว่ามีนายทุนอยากทำนิตยสารแจกฟรี เด็กมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ คุยไหม เขาเห็นเราเขียนพ็อกเก็ตบุ๊กได้ เขาก็เลยให้ไปเป็นบก. ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพขึ้นมา พอพ้น 2 ปีก็ได้กลับมาเล่นละคร พอทำหนังสือได้ 3 ปี นายทุนไปต่อไม่ไหวก็ปิด”