“ไมค์ ภณธฤต” ผกก.หนังหุ่นพยนต์ เผยสุดช็อก หนังอีกเรื่องพระมีคิ้วแต่ผ่านกองเซ็นเซอร์ แต่ของตนไม่ผ่าน พร้อมเล่าเหตุการณ์ช็อตฟีลถูกนักแสดงนำตั๋วมาคืนเพราะดูหนังตนไม่ได้นอยด์จนหนีไปบวช ปิดวาจา ไม่คุยกับใคร แต่ขอบคุณทุกกำลังใจในวันที่เป๋ จะเดินหน้าทำหนังสายนี้ต่อไป
กำลังจะได้เข้าฉายในวันที่ 12 เม.ย.66 นี้ สำหรับภาพยนตร์ หุ่นพยนต์ ที่มีปัญหากับกองเซ็นเซอร์ให้ตัดฉากออกไปหลายฉาก รวมทั้งการจัดเรตติ้งหนัง ฉ20- เนื่องจากมีเนื้อหาที่อาจส่งผลกระทบต่อศีลธรรมและความสงบเรียบร้อย ที่นำไปสู่ประเด็นการถกเถียงในโลกออนไลน์ว่าเหมาะสมหรือไม่ ล่าสุด “ไมค์ ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ” ผู้กำกับภาพยนตร์ได้เผยถึงเรื่องนี้ ว่าตอนนี้แก้ไขแล้วแต่เป็นการแก้ไขที่ไม่ตัดออกทั้งหมด เพราะถ้าตัดออกหนังตนเสียหายแน่นอน พร้อมเผยเหตุการณ์ช็อตฟีลที่ทำให้หนีไปบวช
“ก็แก้ไขทุกฉากที่มีประเด็นในร่างที่เป็น 18+ แต่มันเป็นการแก้ไขที่ไม่ตัดออกหมด ใช้วิธีทำ Cutting เอา เอา Cutting ช่วย เราพยายามคีฟซีนทุกอย่างไว้อยู่ ใช้วิธีในการตัดช่วย หรือว่ามีการพากย์เพิ่มเข้าไป มันเลยเพิ่มมาอีก 4 นาทีในการขยายความต่างๆ นานา
ถามว่าถ่ายเพิ่มไหม จริงๆ มันมีฟุตเทจอยู่แล้ว ในเวอร์ชั่น 20- เราเล่าให้คนดูตีความเอง แต่พอมามีปมเรื่องศาสนาที่มันยังไม่เคลียร์ ก็เลยจำเป็นต้องเล่าเพิ่ม เอาที่เราถ่ายไว้แล้วมาเพิ่ม แต่ผมมองว่าจริงๆ แล้วอยากให้คนดู ดูแล้วตีความเองมากกว่า แต่พอบางอย่างเขากลัวว่าคนจะเข้าใจผิด คือมันเป็นอะไรที่เกี่ยวกับศาสนา เราก็ใช้วิธีในการเล่าด้วยภาพ เอา Cutting เพิ่มเข้าไปในการขยายความ”
ฉากเณรกอดแม่ยังอยู่
“ยังอยู่ครับ เราอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่มันก็ไปชิ่งอีกซีน ที่มีจับตัวสีกาเหมือนกัน แต่อันนั้นใช้ Cutting ช่วย”
มีเรื่องแอบน้อยใจ ใน 6 ข้อมีข้อที่ประหลาดสุดๆ
“มันก็มีข้อที่ประหลาดๆ ข้อนี้ผมงงมากชื่อวัด ไม่ให้เห็นชื่อวัด เราก็รู้สึกว่าชื่อวัดในเรื่อง เป็นชื่อที่ผมตั้งขึ้นมาในจินตนาการ มันไม่มีของจริงในโลกใบนี้ แล้วตัวละครต้องเดินเข้าวัด ผมไม่สามารถยกอันนี้ออกไปได้ ตอนแรกยังไงผมก็ไม่ยอม แต่เขาเองก็ไม่ยอม เลยเดินคนละครึ่งทาง ผมก็ลบคำว่าวัดออก (หัวเราะ) แต่ผมเชื่อว่าคนดูก็เข้าใจ อย่างเณรที่ผมยาว ผมก็ให้เหตุผลว่า เขาไม่ได้พึ่งบวช เขาบวชมานานแล้ว อันนี้ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นประเด็นได้ อันนี้แอบน้อยใจ เมื่อวานผมก็ได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง อันนี้ผมไม่ได้พาดพิงนะครับ แต่พระผมยาวกว่าเรื่องของผมอีก มีคิ้วด้วยเหมือนกัน ผมก็อ้าว… ยังไงกัน แต่ผมว่าอาจจะขึ้นอยู่กับคนที่ตรวจมากกว่า ผมเลยมองว่าไม่ได้อยู่ที่มาตรฐาน แต่อยู่ที่คนตรวจคนนี้ที่พิจารณาว่าเขารู้สึกแบบไหน เราดันเจอคนนี้มั้ง
เพราะลองเปรียบเทียบดู เมื่อวานผมมาดูหนังรอบสื่อ ผมก็ช็อกเลย ผมนั่งมองแบบเฮ้ย… เรื่องนั้นเป็นหลวงพ่อ แต่ทำไมเรื่องนั้นได้ ทั้งที่มันก็ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ที่เดียวกัน อันนี้ไม่ได้พาดพิงนะ แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ มันเลยไม่รู้ตกลงว่าทำถูกใจใคร หรือให้ถูกใจเซนเซอร์ที่เป็นคนตรวจ ซึ่งไม่รู้ว่าจะโดนเซ็นเซอร์คนไหนอีก แล้วประเด็นที่เป็นฉากคลุกข้าว ผมก็ใช้วิธีตัดช่วย ซีนนั้นก็ยังอยู่ คือถ้าให้ยกซีนนั้นออกมันทำให้มิติตัวละครนั้นมันหายจริงๆ ผมต้องการให้มันทัชใจคนดูจริงๆ อยากสื่อให้เห็นว่าทำไมตัวละครถึงรู้สึกแบบนั้น มันก็กลายเป็นว่าจะเบาลงมาหน่อย แต่ยังรู้ว่าตัวละครที่เป็นเณรกับตัวละครที่เป็นเด็กพิเศษเขาทำอะไรกัน และเกิดอะไรกับเขา ก็แก้ทีละข้อๆ”
ทำใจยกซีนไม่ได้ เพราะหนังเสียหาย
“ให้เหตุผลมากกว่า ว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมเราถึงทำแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งเราต้องยอมรับบางอย่าง มันติมาแล้ว มันก็ต้องมีการแก้ไขแหละ แต่คงเป็นวิธีของเรา คำสั่งที่ให้ผมยกซีนออก ผมทำใจไม่ได้จริงๆ เพราะมันทำให้หนังผมเสีย ผมก็หาวิธีว่าเอ๊ะ… ผมจะเล่ายังไง ที่มันจะเดินไปคนละครึ่งกับเขามากกว่า แต่ถามว่าอรรถรสทั้งหมด พอผมดูหนังรวมทั้งเรื่อง ผมรู้สึกมันยังสนุกอยู่ แต่แทนที่เราจะขยี้เยอะๆ ก็มาเป็นเราขยี้นะ มันเลยต้องเป็นแบบนั้น พอมาเป็นหนัง 18+ ผมก็มีตัดโน่นนี่ช่วย เพื่อให้หนังมันสนุกอยู่
ถามว่ารสชาติจะเหมือนกันไหม ระหว่างหนัง 18+ กับ 20- คือเอาง่ายๆ ถ้าคนดูได้ดู 20- คนดูจะได้กลับไปคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวัด วัดนี้ แล้วทุกคนในวัดคิดยังไง ในเรื่องของศาสนา ทุกคนคิดยังไง แต่ใน 18+ เราขยายให้เขารู้เลยว่า เขารู้สึกยังไง ไม่ต้องคิดเยอะ แต่หนัง คนดูจะได้อรรถรสต้องให้คนดูกลับไปคิดด้วย ไม่ใช่มาฉายแล้วบอก 1 2 3 ทั้งหมด แต่นี่ก็เข้าใจ เขาลดเรตลงมาเพื่อให้เด็กได้เข้าไปดูได้ อาจจะต้องทำให้เด็กเข้าใจด้วยตัวหนังเลย มากกว่าจะให้ไปเข้าใจด้วยตัวของเขาเอง”
แจงที่มาชื่อ “หุ่นพยนต์” กับ “ปลุกพยนต์” พร้อมเล่าเหตุการณ์ช็อตฟีลถูกคืนตั๋ว เพราะดูหนังไม่ได้
“ในความรู้สึกว่าพอเราเปลี่ยน เราอยากทำให้มันเป็นหนัง 2 เรื่องไปเลย แต่จริงๆ มันเป็นหนังเรื่องเดียวกันแหละ แต่คือเวลาเราจะไปดูหนัง เราจะได้รู้ว่าเราจะไปดูเวอร์ชั่นไหน ถ้าเราดูเวอร์ชั่น 20- ผมก็จะไปดูเรื่องหุ่นพยนต์ แต่ถ้าผมได้ดูเรตแค่นี้ ก็ไปดูเรื่อง ปลุกพยนต์ เลย แต่อีกอย่างที่ผมรู้สึกน้อยใจสุดๆ ที่ทำแบบนี้ออกมา เพราะว่ามันเกิดเรื่องวันฉายรอบสื่อ เราช็อตฟีลวันนั้น เพราะวันที่ 7 เป็นวันที่ผลพิจารณาออกมาว่าเราได้เรต 20- ซึ่งมันมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ติดตาผมถึงทุกวันนี้ มันจะมีกลุ่มแฟนคลับของนักแสดงผม หรือนักแสดงที่ถูกเชิญมา เอาตั๋วมาคืนผม แล้วบอกผมว่าพี่หนูดูหนังพี่ไม่ได้นะ ผมดูหนังพี่ไม่ได้นะ เขาตรวจบัตร ผมก็ช็อต เพราะตั้งใจมาดู แล้วผลมันรู้วันนั้น
เราก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นกับหนังเรา ในวันที่หนังเราฉายจริง แล้วมีกระทั่งอินบ็อกซ์มา ว่าจองตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว แต่อายุไม่ถึงจะทำยังไง ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่ก็บอกเขาไปว่าต้องติดต่อไปทางโรงหนังเพื่อขอคืนเงิน ผมเลยรู้สึกว่าไม่ได้จะให้เกิดเรื่องแบบนี้กับหนังผมไม่ได้ ก็ต้องไปคุยกับบริษัท และตัดสินใจทำเป็นหนังเรื่องปลุกพยนต์ขึ้นมา คือยังไงเราก็ต้องการกลุ่มเป้าหมายคนดูกลุ่มนี้อยู่ อย่างที่ผมบอก วันนั้นเป็นภาพที่ค่อนข้างจะเซนซิทีฟสำหรับตัวผม ตั้งแต่งานเริ่ม เขารู้สึกว่าเดี๋ยวเขาจะได้ดูหนัง แต่พอเขาเดินเข้าไปจะดูหนังจริงๆ เขาเข้าไม่ได้ แล้วเขาก็เดินเอาบัตรมาคืนเรา เพราะเขาดูไม่ได้ มันเลยช็อตฟีลในความรู้สึกเรา มันเลยกลายเป็นเหมือนว่าปิดกั้นเขาไปเลย แทนที่เขาจะได้รับอะไรกับไปประมาณนี้ เราไม่อยากปิดกั้นเขา เราก็ต้องทำในเวอร์ชั่นที่เขาสามารถดูได้ และยังได้อรรถรสอยู่เหมือนเดิม
ส่วนเรตหนังต้องออกก่อนหน้าที่หนังจะฉายหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ จริงๆ เรตอันเดิมมันเกิดจากการที่ห้ามฉายก่อน แต่คนคุยตอนแรกคือบริษัท แล้วผมไม่รู้ แล้วก็มาอีกทีหนึ่งคือวันรอบสื่อ ก็ทำเรื่องเข้าไปใหม่ แล้วมันด้วยความกระชั้นชิดของวัน ต้องเร่งเอาผล แล้วมันออกวันที่ 7 พอดี ว่าได้ 20- นะ ทั้งผมทั้งนักแสดงก็รู้วันนั้น เราเลยนอยด์ ตอนโดนเลื่อนฉายเราก็ไปปรับแก้ แต่ถ้าผมยอมฉายไปตอนนั้นมันก็คือเรต 20- แล้วอย่างที่บอกว่ามีเด็กมาคืนตั๋วเรา ผมยอมไม่ได้ ทางบริษัทก็เลยมาคุยและเลื่อนฉายออกไป”
นอนยด์จนไปบวชปิดวาจา ไม่คุยกับใคร
“เอาง่ายๆ ผมนอยด์จนผมไปบวชเลย ไปถือศีล8 ที่วัดป่าคลอง 11 ไปปิดวาจาเลย นั่งสมาธิวันละชั่วโมงเดินจงกลม มันแบบช็อตไปเลย ไม่คุยกับใคร ได้แต่สงสัยว่าเรื่องนี้มันอะไรวะ (หัวเราะ) มันเกิดอะไรขึ้นวะ ด้วยความที่เราไม่เคยเจอสถานการณ์นี้ไง เราก็ทำหนังพระ เราก็ไม่เคยเจอห้ามฉาย 20- มันเป็นสถานการณ์ที่เราตั้งรับไม่ทัน มีแต่คนอื่นเขาโดนกัน พอเราโดนเองเราก็ช็อต มันก็เลยรู้สึกแย่ ส่วนงบประมาณมันเหมือนเดิมครับ เพียงแต่เป็นเรื่องของการตัดต่อ เราต้องมาตัดใหม่ ทำเพลงใหม่ (เรื่องโรงฉายจะยังไง?) อันนี้ต้องถามบริษัท ว่าเขาจะวางยังไง เพราะเดือนเมษายนหนังไทยค่อนข้างเยอะ การวางโปรแกรมจะเป็นเรื่องของทางไฟท์สตาร์ ผมจะไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร อยู่ที่ความสะดวกของผู้ใหญ่ ที่อยากฉายตอนนี้เพราะด้วยเหตุผลอะไรของเขา”
ขอบคุณทุกแรงใจในวันที่เป๋
“ก็ขอบคุณทุกๆ แรงใจเลย ที่ผมเป๋ไป แต่ผมก็มองว่าจริงๆ ผมมีกำลังใจเยอะมากนะ ผมได้กำลังใจจากคนที่ไม่รู้จักเยอะมาก ที่เขามาซัปพอร์ตหนังเรา โดยที่บางคนยังไม่ได้ดูหนังเลย แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่ดูรอบสื่อไปแล้ว แล้วเขารู้สึกเห็นแย้ง เขาก็ออกมาพูด ว่ามันไม่น่าจะขนาดนั้น มันไม่ได้มีอะไร มันเป็นหนังผีเรื่องหนึ่ง
ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้วิธีของเขา เพราะแค่เรื่องทรงผมกับหนังสองเรื่องมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าตกลงเขารู้สึกยังไงกับมัน เขาคิดยังไงด้วยมาตรฐานของเขา เราก็ต้องแย้งไป และตั้งรับกับมัน”
ยกมือไหว้ทุกสื่อที่ให้กำลับใจ ยังเดินหน้าทำหนังสายนี้ หยุดไม่ได้
“ยังทำอยู่ครับ เราสายนี้มา อันนี้ไม่สามารถหยุดผมได้ มันยิ่งทำให้ผมมีพลังมากขึ้นในการทำด้วยซ้ำไป สุดท้ายคนที่ให้กำลังใจผมมากที่สุดก็คือทุกเพจ ทุกกำลังใจที่มันเกิดขึ้นในกระแส อันนั้นผมยกมือไหว้ทุกสื่อเลย อยากบอกเขาว่าขอบคุณมากๆ ที่ให้กำลังใจ แล้วก็ขอบคุณมากๆ ที่ปกป้องหนังผม หรือเข้าข้างหนัง และก็เชียร์หนัง ทำให้รู้ว่าคนไทยยังรู้สึกโอเคกับหนังไทยอยู่ เขายังต้องการจะดู แสดงว่าคนไทยยังรักหนังไทย เลยเป็นแรงผลักดัน ว่าลายเส้นผมตั้งแต่ทำพี่นาคมา ที่เป็นพระ เป็นวัด ผมก็ยังคงมันไว้อยู่
(เรื่องของเราก็กระตุ้นผู้กำกับหลายๆ คน เหมือนกัน มีแรงกระเพื่อมเยอะมาก?) ใช่ๆ มันเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนาน (หัวเราะ) อยู่ที่ช่วงนั้นจะแจ็กพอตที่เรื่องไหน ของผมรู้สึกว่าจะเป็นในรอบ 3 ปีมั้ง พอมันเกิดขึ้นมันก็เป็นแรงที่แบบ มันกลับมาอีกแล้วเหรอประเด็นนี้ ทำไมมันถึงไม่ถูกปฏิรูปสักทีหนึ่ง”