ชายฝั่งทะเลประเทศไทยประสบปัญหาการกัดเซาะในหลายพื้นที่ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากกระบวนการทางธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างปัญหาเชิงกายภาพแก่ท้องทะเลไทยแล้ว ยังส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของชุมชนริมฝั่งทะเล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้เร่งวางมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งรูปแบบการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม และไม่ใช้โครงสร้าง คู่ขนานไปกับการใช้มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางสังคม เพื่อหยุดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมิให้ขยายวงกว้างมากขึ้น
นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาชายฝั่งทะเลทั้งระบบ โดยกำหนดนโยบายการจัดการชายฝั่งแบบบูรณาการ อย่างเป็นองค์รวม เพื่อวางรูปแบบการจัดการที่เหมาะสมกับศักยภาพและสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในประเทศไทย ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานในรูปแบบการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม ซึ่งมุ่งเน้นความสอดคล้องกับธรรมชาติ ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงของการใช้ประโยชน์ที่ดิน ภายใต้หลักการมิให้ส่งผลกระทบไปยังพื้นที่ข้างเคียง พร้อมยึดกรอบการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหา แบ่งเป็น 4 แนวทาง ได้แก่ การปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ร่วมกับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่ดำเนินการคัดเลือกและกำหนดรูปแบบการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ ดังนี้
มาตรการสีขาว เป็นการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากการกัดเซาะชายฝั่ง ด้วยการกำหนดพื้นที่ถอยร่น ห้ามก่อสร้างหรือเปลี่ยนแปลงชายหาดและเนินทราย
มาตรการสีเขียว เป็นการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง เหมาะกับชายฝั่งทะเลแบบเปิด ซึ่งมีคลื่นขนาดเล็ก และชายฝั่งมีความลาดชันต่ำ ด้วยการปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด และการปักเสาแบบตะกอนเพื่อปลูกป่าชายเลน
มาตรการสีเทา เป็นการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม เหมาะกับชายฝั่งที่เป็นทะเลเปิด มีคลื่นขนาดใหญ่ และชายฝั่งมีความลาดชันสูง โดยการสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง รอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงป้องกันคลื่นริมชายฝั่ง
โดย กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้กำหนด 6 ขั้นตอนการดำเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งทะเล ดังนี้
1.ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอโครงการผ่านสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด หรือส่งมาที่กรมโยธาธิการและผังเมืองโดยตรง
2.คัดเลือกพื้นที่ดำเนินการ โดยลงพื้นที่สำรวจผลกระทบ ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน และตรวจสอบกับข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินงานจากความรุนแรงและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก
3.ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (IEE) อย่างรอบด้าน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดแผนงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึงติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังผลกระทบในระยะยาวหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ
4.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น โดยกำหนดจัดอย่างน้อย จำนวน 2 ครั้ง โดย ครั้งที่ 1 เป็นการนำเสนอที่มาของโครงการ ขอบเขต แนวทาง การศึกษาออกแบบ รูปแบบการแก้ไขปัญหา จุดเด่นและข้อด้อยของแต่ละทางเลือก พร้อมรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการออกแบบ และ ครั้งที่ 2 เป็นการชี้แจงรูปแบบและรายละเอียดโครงการ พร้อมนำเสนอผลกระทบ และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ผู้แทนชุมชน ทั้งกลุ่มผู้รับประโยชน์ กลุ่มผู้เสียประโยชน์ เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่องค์กรภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป
5.เสนอโครงการให้คณะทำงานพิจารณากลั่นกรอง เมื่อได้รับความเห็นชอบ จึงเสนอการสนับสนุนของบประมาณ จากนั้นจึงจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นอีกครั้งก่อนดำเนินโครงการ
6.ขออนุญาตก่อสร้างโครงการ จากคณะกรรมการสิ่งล่วงล้ำลำน้ำจังหวัด เพื่อพิจารณารับรองการปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ มิให้กระทบต่อแผนพัฒนาจังหวัด ผังเมือง และการรักษาสภาพแวดล้อม
จึงกล่าวได้ว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันและแก้ไขการปัญหากัดเซาะชายฝั่งทะเล ทั้ง 134 โครงการ ระยะทางกว่า 84.556 กิโลเมตร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ถึงปัจจุบัน ได้ผ่านกระบวนการที่เป็นระบบและดำเนินการด้วยความรอบคอบในทุกขั้นตอน ทั้งการเสนอขอโครงการจากหน่วยงานในระดับพื้นที่ การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน การขออนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งร่วมคิด ร่วมกำหนดพื้นที่ ร่วมเสนอแนวทาง และร่วมคัดเลือกรูปแบบการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม สอดคล้องกับศักยภาพและการใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ บนพื้นฐานการสร้างความสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างเขื่อนฯ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง นอกจากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ตามปณิธาน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” แล้ว ยังเสริมสร้างทัศนียภาพของชายหาดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม (ตามคลิปวิดีโอ https://fb.watch/csiDjc6laq) รวมถึงเพิ่มศักยภาพ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งทะเลได้อย่างเท่าเทียม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในภาพรวมของประเทศ