หลังเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา คู่แฝดจิตอาสา “ท็อป บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” และ “ไทด์ เอกพัน บรรลือฤทธิ์”ได้ออกมาแจ้งข่าวเศร้าของครอบครัว ว่า “คุณแม่ปรางทิพย์ บรรลือฤทธิ์” วัย 85 ปี ได้จากไปอย่างสงบแล้ว ด้วยโรคชรา ที่รพ.วชิรพยาบาล ล่าสุดวันนี้ 24 ตุลาคม ทางครอบครัวได้นำร่างของคุณแม่ปรางทิพย์ มาประกอบพิธีทางศาสนา ณ ศาลา 15 วัดเทพศิรินทร์ ราชวรวิหาร
โดยได้มีพิธีรดน้ำศพ ในเวลา 14.45 น. และพิธีสวดอภิธรรม ในเวลา 18.30 น. ตามลำดับ ซึ่งการสวดอภิธรรมนั้น จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-29 ตุลาคม รวมเป็นเวลา 6 วัน ก่อนจะมีพิธีฌาปนกิจ ในวันเสาร์ ที่ 30 ตุลาคม เวลา 17.00 น.
บรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความโศกเศร้า นอกจากครอบครัวและญาติสนิท ยังมีผู้ใหญ่ในวงการ บันเทิง อย่าง “สมบัติ เมทะนี” และ “รอง เค้ามูลคดี” มาร่วมไว้อาลัย อีกทั้งยังมีเหล่าอาสาสมัครกู้ภัย จากมูลนิธิต่างๆ มากมาย มาช่วยอำนวยความสะดวกภายในงานด้วย
บิณฑ์ : “คุณแม่ป่วยมา 3 รอบแล้ว รอบแรกเมื่อประมาณปี 63 ก็เข้าโรงพยาบาลพอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ดีขึ้นอยู่ 6-7 เดือน รอบ 2 ก็เข้าอีกครั้งตอนต้นปี 64 อยู่โรงพยาบาลประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วก็ออกมาประมาณ 5-6 เดือน แล้วมาเดือนนี้ เดือนวันเกิดแม่ แม่เกิดวันที่ 4 ตุลาคม ก็คือป่วยเข้าโรงพยาบาลมาตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน รอบนี้เราก็คิดว่า เดี๋ยวอยู่โรงพยาบาลสักพัก แล้วคงจะดีขึ้น แต่เราก็รู้สึกว่ารอบนี้แม่ไม่เหมือนเดิม เพราะปกติอยู่โรงพยาบาลแม่จะร่าเริง แต่อันนี้อาทิตย์หนึ่งแล้วก็ยังเฉยๆ
จน 2 อาทิตย์ คุณหมอเรียกเราไปคุย บอกว่าร่างกายคุณแม่ด้านในเนี่ย โอเคอาจจะเรื่องไตบ้าง หัวใจบ้าง จะไม่ค่อยแข็งแรง แล้วก็ถามเราก่อนว่า ถ้าคุณแม่เกิดวิกฤตขึ้นมาปั๊บ จะปั๊มไหม เราก็งงว่าเฮ้ย…แสดงว่าจะต้องมีที่คุณแม่ช็อกไปเลย เราก็มองหน้ากันแล้วก็บอกว่า ผมไม่อยากปั๊ม การปั๊มขึ้นมา คือทำให้คุณแม่ทรมาน แต่ถ้าคุณแม่จะไปจริงๆ เนี่ย ผมยอมรับได้ นั่นคือวาระสุดท้ายของคุณแม่จริงๆ ที่จะไป
แต่นั้นคือ 2 อาทิตย์ที่อยู่มา แม่ก็ดีขึ้น ยิ้มแย้ม ยักคิ้วอะไรได้ คือพอคุณหมอมาพูดถึงเรื่องนี้ปุ๊บ แม่ก็ดีขึ้นจนกระทั่ง 3 อาทิตย์ ประมาณวันที่ 20 ผมก็มากราบไปช่วยน้ำท่วม วันที่ 21 ก็ไปช่วยน้ำท่วมแล้วกลับมาตอนกลางคืน พอวันที่ 22 ก็ปกติ ไปเยี่ยมเหมือนเดิม คุณแม่อยู่ในอ้อมกอดผม คือตอนที่ผมไปหาคุณแม่ยังไม่เสียนะ ผมเห็นลูกกระเดือก แม่กลืนน้ำลาย 5 ครั้ง แล้วครั้งที่ 5 นั่นล่ะ ท่านก็ไป ไปแบบไม่เจ็บปวด บางคนจะกระตุก ทุรนทุราย แต่อันนี้ไม่ แม่หลับไปเฉยๆ ไม่มีอะไรเลย
แต่ถามว่าเสียใจไหม เป็นการเสียใจครั้งแรก ที่เป็นที่สุดในชีวิตของครอบครัวบรรลือฤทธิ์จริงๆ คือเราคิดว่าคงจะเหมือนเดิม มารักษาตัวเสร็จ แล้วก็กลับไปบ้าน แต่คราวนี้รักษาตัวเสร็จ ไม่มีคุณแม่กลับไปบ้านเหมือนเดิม”
เล่าอาการแม่ไม่ได้ดูทรุดหนัก ยังเป็นเหมือนเคยแบบที่ผ่านมา แต่ต่างกันตรงที่ในครั้งนี้ ไม่ได้พาท่านกลับบ้านด้วยกันแล้ว
บิณฑ์ : “ไม่มีเลย ก็ดู ก็รักษาไปตามอาการ เหมือนที่เคยส่งโรงพยาบาล ทุกครั้งที่แม่เจ็บป่วย”
เอกพัน : “ก็เหมือนเคย เหมือนทุกครั้ง ที่พอเราส่งโรงพยาบาลแล้ว ก็ไปรับท่านกลับบ้าน เป็นอย่างนี้มาตลอด แค่ครั้งนี้ไม่คิดเลย ว่าเราจะไม่ได้รับคุณแม่กลับบ้าน แต่รับคุณแม่มาที่วัดแทน ก็ถือว่าเป็นวาระสุดท้ายของแม่ครับ ร่างกายท่านก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ท่านทำงานหนักมาทั้งชีวิตแล้ว
พวกเราก็โชคดีที่ได้เห็นใบหน้าของคุณแม่ ตอนนี้ไปอย่างสงบ ไม่มีการทุรนทุราย ไม่มีการเจ็บปวดคือนอนหลับในอ้อมแขนของคุณบิณฑ์เลยครับ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่มงคลกับลูกๆครับผมมาหลังคุณบิณฑ์ตอนคุณแม่เสียไปแล้วประมาณสัก 15 นาที ก็ยังได้มาโอบกอด ทำเหมือนกับลูกๆ ทุกๆ คนครับ ที่รักคุณแม่ เราก็รักแม่ไม่ต่างจากพวกท่าน แม่ของใคร ใครก็รักใช่ไหมครับ”
ก่อนหน้านี้ คุณแม่มีโรคประจำตัว คือโรคไต แต่ก็ไม่ได้เข้ารับการฟอกไต เพราะว่าแม่แก่แล้ว กลัวจะช็อก ไม่อยากให้ต้องเจ็บปวด ขนาดตอนเสียชีวิตก็ ไม่ได้ให้ฉีดฟอร์มาร์ลีนเช่นกัน
บิณฑ์ : “แกเป็นโรคไต หมอบอกว่าจะให้คุณแม่ฟอกไตไหม ผมเห็นคนฟอกไตทรมาน อาทิตย์หนึ่ง 3 หน แล้วคุณแม่ก็ 80 กว่าแล้ว ต้องไปนอนฟอกไตเป็นชั่วโมง กลัวแกช็อก บอกไม่เอาดีกว่าครับ ขอให้เป็นไปตามวาระและธรรมชาติดีกว่า
จะฟอกไต จะเจาะคอไหม เพราะว่าคุณแม่ไม่ได้รับอาหารทางปากนะ คุณแม่เจาะช่องท้อง แล้วก็ให้อาการหารทางนี้ เพราะคุณแม่ไม่ยอมกลืนอะไรเลย หมอก็บอกว่าเชื้อจะอยู่ในนี้เยอะ ปกติคนเราเวลามีสเลด เราก็คากแล้วก็คายทิ้ง แต่คุณแม่ไม่ได้คาย คายไม่ได้ไม่มีแรง ก็เลยสะสมอยู่ เขาก็เลยบอกว่าจะเจาะคอไหม เราก็บอกไม่เจาะอะไรทั้งนั้น
อย่างเสียชีวิตเนี่ย คุณหมอจะฉีดฟอร์มาลีน เราก็บอกไม่ได้ครับ ไม่ให้แม่ฉีด ไม่ให้อะไรทั้งนั้น อย่าเอาสารอะไรมาอยู่ที่ตัวแม่ เราสงสารเขา เรารู้ว่าการฉีดฟอร์มาลีนต้องกรีดหน้าขา แล้วต้องเย็บ ก็ไม่เอาดีกว่า โรคประจำตัวแกก็มีแค่นั้นแหละ โรคไต”
เอกพัน : “คือเรารู้ว่าแม่เนี่ย เราคุยกันตั้งแต่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ว่าถ้าเกิดแม่ตายไปเนี่ย แม่ไม่เอาฟอร์มาลีน ไม่ให้ฉีด เพราะฉีดฟอร์มาลีนแล้วทุกศพเนี่ย หน้าจะดำ ตัวจะแข็ง ทำอะไรไม่ได้เลย คือแค่สต็อปเอาไว้ ไม่ให้เน่า แต่ผมมั่นใจว่าแม่จะไม่เป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ฉีดฟอร์มาลีน และไม่ได้นอนโรงเย็น ร่างกายของแม่ก็จะผิวเหลืองขาวตลอด หน้าจะยิ้มตลอด
สมมติว่าให้คนอื่น ที่ไม่รู้ว่าแม่ผมเสียชีวิตมาดู ก็ต้องคิดว่าแม่ผมนอนหลับ หลับแบบสบายมากเลย นี่อาจจะด้วยที่แม่ไม่ได้ไปก่อกรรมทำเข็ญ หรือว่าไปอะไรต่างๆ แล้วพวกเราสองคน ก็ทำบุญทำทานกันหนักมากเพื่อให้แม่ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำเนี่ย ก็ส่งผลไปให้คุณแม่ครับ ที่ท่านไปอย่างสบาย ทุกสถานที่ที่ท่านไป ก็ราบเรียบ ราบรื่น ด้วยกลีบกุหลาบ”
บอกคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงจะดูแลตัวเองอย่างดีเผยคุณแม่เป็นคนสนับสนุนเรื่องการช่วยเหลือคนอื่นมาโดยมาตลอดและเมื่อคืนนี้ก็กลับมาหา “บิณฑ์” ที่บ้านด้วย
บิณฑ์ : “ก็บอกคุณแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงพวกเราจะอยู่กันตามลำพัง ปกติจะมีกำลังใจดีที่สุด ระหว่างที่ทำงานมาเหนื่อยๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่กลับมาบ้าน รู้ว่าแม่อยู่ มันเหมือนกับพลังมหาศาล ให้หายเหนื่อย ได้เห็นหน้าแม่ ได้เข้าไปกอด แค่นี้มันมหาศาลมาก”
เอกพัน : “เขาเรียกว่าร่มโพธิ์ร่มไทรจริงๆ”
บิณฑ์ : “แต่วันนี้เราใจหาย กลับมาบ้านแล้วแม่ไม่อยู่ แม่ไม่มีแล้ว เราจะทำยังไง”
เอกพัน : “ก็ต้องดูแลกันเองแล้ว 4 พี่น้อง ปกติเข้าบ้านมา ต้องไปไหว้แม่ ไปหยอกแม่ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
บิณฑ์ : “คำพูดที่บอกแม่ครั้งสุดท้าย ไม่ให้แม่ห่วง รับรองหนูจะดูแลตัวเองอย่างดี และจะทำบุญให้หนักมากกว่าเดิม ตอนแรกเราไปทำบุญเราก็ต้องรีบกลับมาบ้าน ไป 2-3 วันก็ต้องรับกลับมา เพราะกลัวแม่คิดถึง แต่ตอนนี้เราสามารถไปได้สบายๆ แล้วอีกอย่างก็คือว่า สิ่งที่ผ่านมาทุกครั้งเนี่ย แม่เป็นคนที่สนับสนุนให้เราทำ ทำเพื่อสังคม ทำให้คนอื่น แม่เป็นคนสนับสนุนหมดเลย ทั้งเอาตังค์ให้เราไปทำ เอาไปช่วยคนที่เขาไม่มี ปกติคนแก่มักจะงก เก็บเงินเก็บทองไม่ให้ใคร แต่นี่ตังค์พอไหมลูก แม่มีอยู่ เก็บไว้ไม่รู้จะใช้อะไร เอาไปเลย เราก็นึกในใจสุดยอดเลย แบ่งปันให้คนอื่นด้วย
แล้วเมื่อคืนแม่กลับบ้าน ผมอยู่หน้าบ้านคนเดียวประมาณ 5 ทุ่มครึ่งเกือบเที่ยงคืน หมาไม่เคยเห่าหอนเลยนะ แล้วก็ไม่เคยมาอยู่รวมกันที่หน้าบ้านผม ประมาณ 10 กว่าตัว เมื่อคืนมันมารวมกันอยู่หน้าบ้าน แล้วเห่าพร้อมกันทั้งหมด เรารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น คำแรกเลยผมก็ยกมือแล้วอธิษฐาน ขอให้เจ้าที่เจ้าทาง แล้วก็ผีบ้านผีเรือน เปิดทางให้ คุณแม่ปรางทิพย์ บรรลือฤทธิ์ ให้เข้ามาในบ้าน ด้วยนะครับ
กล่าวเสร็จไม่ถึง 30 วินาที หมากระจัดกระจายกันออกไป แล้วไม่มีเห่าหอนอีกเลย แสดงว่าแม่เข้าไปที่บ้าน ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วภายในบ้านก็มีบ้างนะ วันนี้ครบ 3 วัน แต่เมื่อคืนแม่รีบเข้าบ้านก่อน ผมสงสาร เพราะแม่นอนอยู่ในห้องเย็น 2 วัน เพราะเมื่อวานเป็นวันปิยมหาราช ก็เลยต้องฝากคุณแม่ไว้ สงสัยแกหนาว ก็เลยกลับมาที่บ้าน มานอนที่บ้าน
แล้วก่อนที่คุณแม่จะเสีย เหมือนเป็นลางวันเดียว วันที่ 21 ผมกลับมาจากน้ำท่วม แล้วมาหาคุณแม่ แล้วก็เอาผ้าห่มของแม่มาซักที่บ้าน เราก็มอง ก็ไม่รู้เป็นไร เอาผ้าห่มมาห่มนอนอยู่ทั้งคืน เช้าก็ไปหาคุณแม่ แล้วท่านก็เสียทแล้ววันที่ 22 เป็นวันที่ผมบวช ให้กับในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วก็เป็นวันแรกของวันออกพรรษา มันเหมือนกับทุกอย่างที่คุณแม่รอ รอวันนั้นจริงๆ”
ความบังเอิญได้ศาลา 15 ตรงกับเลขที่บ้านแม่พอดี ขอบคุณ 30 กว่าเจ้าภาพ ที่ติดต่อมาร่วมบุญ ในงานสวดอภิธรรม
เอกพัน : “แล้วก็บังเอิญนะฮะ ศาลา 15 โรงแม่ก็ติดบ้านเลขที่ 15 แล้วบ้านแม่ก็เลขที่ 15 ด้วย มันตรงกันหมด อันนี้ไม่ได้บอกอะไรนะครับ วันนี้ก็ขอบคุณทุกสื่อ ที่มาทำข่าว ขอบคุณทุกๆ เจ้าภาพ ตอนนี้มีเกือบ 30 เจ้าภาพแล้วนะครับ ที่ขอมาร่วมเป็นเจ้าภาพให้กับคุณแม่ นี่บ่งบอกถึงบุญบารมีของคุณแม่ ซึ่งมีแต่คนรักทั่วประเทศเลย คุณบิณฑ์เขาลงเฟซบุ๊กทีไร คนก็จะมาชื่นชมยินดีกับคุณแม่ แล้ววันนี้เป็นวันแรก ที่เราจะเริ่มสวด ก็จะสวดเวลา 18.30 ทุกวันครับ ถึงวันที่ 29 ตุลาคม แล้ววันที่ 30 ตุลาคม เวลา 17.00 น. ก็จะมีพิธีฌาปนกิจครับ”
ไม่ขอพระราชทานเพลิงศพเพราะไม่อยากรบกวนเบื้องยุคลบาท
บิณฑ์ : “คนก็ถามว่าพี่น้องสองคนทำงาน ให้กับประชาชน ทำไมไม่ขอพระราชทานเพลิงศพ ไม่ขอน้ำหลวงอาบศพ คืออย่าเลยครับ ถ้าขอก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง แต่เรารู้สึกว่า อาจจะเป็นการรบกวนเบื้องบนยุคลบาท เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร คุณแม่เป็นชาวบ้านธรรมดา เราก็มาจากชาวบ้านธรรมดา พิธีของเราสบายๆ ไม่ได้อะไร”
เอกพัน : “ตอนคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนปี 2534 ท่านได้แม่ดีเด่นแห่งชาติแล้ว คุณพ่อก็ได้พ่อดีเด่นแห่งชาติด้วย สลับกันคนละปี แล้วเราก็ได้ลูกดีเด่นแห่งชาติ เขาก็บอกว่ามีสิทธิ์ ที่จะขอได้เลย แต่เราก็บอกว่า ถือว่าเอาธรรมชาติ เป็นชาวบ้านๆ ดีกว่า ก็จัดอย่างนี้ พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงมา มันจะอบอุ่น แล้วก็โอเคกว่า”