คดีความระหว่าง “สการ์เล็ตต์โจแฮนสัน” และ Disney สามารถหาข้อยุติได้เรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าของบท Black Widow เป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้เอง ยังบอกว่าพร้อมจะทำงานกับ Disney ต่อไปได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตามไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงออกมาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
เมื่อวันพฤหัสที่ 30 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าเธอและ Disney สามารถหาข้อตกลง เพื่อยุติคดีต่อกันได้เรียบร้อยแล้ว และบอกว่าตนเองรู้สึก “ดีใจที่ได้สะสางความแตกต่าง” ยังบอกอีกว่ารู้สึกภูมิใจกับงานที่ทำกับ Disney ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา และ มีความสุขกับการรวมสร้างสรรค์งานกับทีมของ Disney มาตลอด พร้อมบอกว่า เธอจะรอคอยที่จะได้ร่วมงานกันอีกในอนาคตที่จะมาถึงเสมอ
เช่นเดียวกับ อลัน เบิร์กแมน ประธานบริษัท Disney Studios ที่บอกว่าทาง Disney ชื่นชมการมีส่วนร่วมใน Marvel Cinematic Universe ของ สการ์เล็ตต์โจแฮนสัน มาโดยตลอด และยินดีร่วมงานกับเธอในอนาคตเสมอรวมถึงโปรเจค Tower of Terror ที่เธอจะแสดงนำให้กับทาง Disney ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
ปัญหาทางกฎหมายระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นหลัง สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ได้ยื่นฟ้อง Disney ที่ตัดสินใจเอาภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เธอแสดงนำเรื่อง Black Widow ไปเผยแพร่ทาง Disney+ พร้อมกับฉายในโรงภาพยนตร์ซึ่งจะทำให้เธอไม่ได้ส่วนแบ่งรายได้จากการฉายโรงภาพยนตร์อย่างเต็มที่ แบบที่ระบุไว้ในสัญญา
ตอนนั้นทาง Disney ได้ออกมาตอบโต้ว่า สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน เองก็ได้ค่าตัวไปถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯแล้ว ซึ่งการออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ก็ทำให้ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มีการออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดในสัญญา
แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็สามารถหาข้อตกลงได้สำเร็จ
ปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ COVID-19 ระบาดอย่างรุนแรงในทั่วโลก และทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Black Widow ถูกเลื่อนฉายก่อนหน้าที่หนังจะลงโรงเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น สุดท้ายหนังจึงได้มาเข้าฉายกลางปี 2021 ที่ผ่านมาซึ่งช้ากว่ากำหนดมากกว่าหนึ่งปีเต็ม และทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 183 ล้านเหรียญฯ กับรายได้นอกสหรัฐฯอีก 195 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่าไม่น้อยในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็เปรียบเทียบไม่ได้เลยกับในช่วงเวลาปกติ
แต่ว่ากันว่า Disney ทำเงินได้ไม่น้อยกับการส่งหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง Disney+ โดยมีข้อมูลหนังสามารถโกยเงินจากการขายใน Disney+ แค่สัปดาห์แรกไปถึง 60 ล้านเหรียญฯ